วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

โรคของนักช็อป


โรคของนักช็อป
การถือกระเป๋าหรือหิ้วถุงช็อปปิ้งกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้หญิงไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวนักช็อปและแม่บ้าน การซื้อแต่ละครั้งก็จำนวนถุงน้อยบ้างมากบ้างตามภาวะโอกาส แต่ผู้หญิงมักจะลืมตัวซื้อของ หิ้วพะรุงพะรังเต็มมืออย่างในช่วงลดราคากระหน่ำซัมเมอร์เซล ซึ่งกระเป๋าถือและถุงช็อปปิ้งแสนหนักที่หิ้วกันแบบลืมตัวนี้เองทำให้เกิดโรคของนักช็อปขึ้น

โรคของนักช็อปมักเกิดกับหลัง ไหล่ ข้อศอก ข้อมือ มือ หรือนิ้วมือ เป็นต้น เนื่องมาจากต้องแบกรับน้ำหนักมากเกินไปเป็นเวลานานประจำ เป็นสาเหตุของอาการมากมายเช่น

ปวดกล้ามเนื้อ (muscle pain, myofascial pain) เพราะสะพายกระเป๋าหรือถุงหนักและหลายใบ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานหนัก เกิดการหดเกร็งตัว มักปวดกล้ามเนื้อบริเวณสะบักทั้ง 2 ข้าง ปวดไหล่ ปวดหลัง

ปวดเข่า ปวดหลัง เกิดจากการใส่รองเท้าไม่เหมาะสมเวลาเดินช็อปปิ้ง เช่น รองเท้าส้นสูงมากๆ เดินนานๆ อาจทำให้เส้นประสาทบริเวณข้อเท้าถูกกด (anterior tarsal tunnel) ทำให้เกิดอาการชาบริเวณนิ้วโป้งเท้าได้ เป็นต้น

เส้นประสาทถูกกดทับที่บริเวณข้อมือ (Carpal tunnel syndrome) อาจเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่ชอบคล้องกระเป๋าถือหรือถุงหิ้วที่แขนหรือข้อมือ (สไตล์ท่าทางแบบแม่บ้านญี่ปุ่น) ทำให้ชาที่บริเวณมือหรือปวดข้อมือมาก บางคนชาที่ปลายนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลางและปลายนิ้วอีกครึ่งของนิ้วนาง หรือบางคนอาจปวดร้าวเหมือนถูกไฟชอร์ตวิ่งอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นมากอาจทำให้มีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้ออุ้งมือได้

เอ็นอักเสบ เป็นที่เอ็นข้อหัวไหล่อักเสบ (Rotator cuff tendinitis) เอ็นบริเวณข้อศอกอักเสบ ปลอกหุ้มเอ็นบริเวณนิ้วโป่งอักเสบ (Dequervian tenosynovitis) และถ้าหิ้วถุงหนักมากๆ อาจทำให้ปลอกหุ้มเอ็นบริเวณนิ้วอักเสบ หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดพังผืดรัดบริเวณข้อนิ้ว เกิดภาวะนิ้วล็อกตามมาได้ เรียกภาษาไทยว่า ภาวะนิ้วล็อกไกปืน (Trigger finger)

แต่อาการปวดสารพัดที่พูดถึงสามารถบรรเทาและป้องกันได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ

หลีกเลี่ยงการหิ้ว ถือ หรือสะพายกระเป๋า ไม่ควรใช้ใบใหญ่มาก เพราะยิ่งมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ ก็จะเผลอใส่ของมาก น้ำหนักก็จะมากตาม เปลี่ยนมาเป็นใบขนาดกลางหรือเล็กให้เหมาะสมกับรูปร่างตนเองดีกว่า

ใช้บริการฝาก หรือใช้รถเข็นของที่ห้างสรรพสินค้า อาจจะต้องเดินไปฝากหลายเที่ยว หรือคืนรถเข็นไกลสักหน่อย แต่ดีกว่าสุขภาพกายแย่ทีหลัง หรือนำกระเป๋าหรือตะกร้าลากของขนาดย่อมติดตัวไปเองเลย

ใส่รองเท้าสบายๆ ยามเดินช็อปปิ้ง

บริหารข้อนิ้ว ข้อมือ ข้อศอก และไหล่ สำหรับสาวนักช็อปตัวยงควรจะฝึกบริหารอวัยวะเหล่านี้สม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเคล็ดหรือเอ็นอักเสบง่าย เริ่มจากข้อนิ้วโดยการใช้นิ้วโป้ง นิ้วชี้และนิ้วกลางทาบกับกำแพง ไล่ไต่ขึ้น-ลง 10 ครั้ง บริหารข้อมือ กำมือทั้ง 2 ข้างและแบเหยียดให้สุด ทำประมาณ 10 ครั้ง และกำมือหมุนข้อมือเป็นวงกลมซ้าย-ขวา 10 ครั้ง บริหารข้อศอก งอข้อศอกแขนทั้ง 2 ข้างประสานกัน (คล้ายท่ากอดอก) กำมือแขนข้างขวา ส่วนมืออีกข้างแบมือรองข้อศอกไว้ จากนั้นให้ออกแรงต้านกันและกัน ทำค้าง 6-7 วินาที และทำสลับกันอีกข้าง บริหารไหล่ หมุนแขนไปข้างหน้า-หลัง เป็นวงกลม ข้างละ 10 ครั้ง

ใช้แผ่นประคบร้อน-เย็นบรรเทาปวด หากรู้สึกปวดกล้ามเนื้อ เช่น บริเวณหัวไหล่ สามารถใช้แผ่นประคบเย็น เพื่อลดอาการปวดบวมใน 1-2 วันแรก หลังจากนั้นใช้แผ่นประคบร้อนพร้อมยืดกล้ามเนื้อเบาๆ หรือจะใช้ยานวดหรือรับประทานยาแก้ปวดบรรเทาด้วยก็ได้ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ภัยแฝงของหญิงยุคใหม่ โรคหลอดเลือดสมองตีบ


ภัยแฝงของหญิงยุคใหม่ โรคหลอดเลือดสมองตีบ
เผยสถิติผู้หญิงมีโอกาสตายจากหลอดเลือดสมองแตกมากกว่าผู้ชาย แนะวิธีป้องกันพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพประจำปี...

ภัยแฝงของผู้หญิงยุคใหม่ ที่ต้องรับผิดชอบทำงานหนักทั้งในบ้านและนอกบ้าน กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อ "โรคหลอดเลือดสมองแตก-ตีบตัน" อย่างไม่รู้ตัว ทั้งนี้ นพ.ชาญพงศ์ ตังคณะกุล ผู้อำนวยการศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาล กรุงเทพ เปิดเผยว่า จากสภาพแวดล้อมรอบตัวผู้หญิง ในยุคนี้ ล้วนมีภัยเงียบที่แฝงตัวคอยทำร้าย ทั้งความเครียดจากการทำงาน การพักผ่อนไม่เพียงพอ การรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา ไม่มีเวลาออกกำลัง จึงมีรูปร่างอ้วน รวมไปถึงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เหล่านี้ล้วนเป็นผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย และหากมีอายุมากกว่า 50 ปี มีอาการเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งล้วนเป็นความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมองแตก-ตีบตัน จากสถิติพบว่า ผู้หญิงมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองแตก-ตีบตันถึง 60% ในขณะที่ผู้ชายมีโอกาส 40%

คุณหมอชาญพงศ์กล่าวต่อว่า อาการเตือนภัยของโรคหลอดเลือดสมองแตก-ตีบตัน สังเกตได้จาก เช่น แขนขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง หรือชาบริเวณใบหน้าซีกใดซีกหนึ่ง ตาข้างใดข้างหนึ่งพร่ามัว หรือมองเป็นภาพซ้อน มีปัญหาด้านการพูดหรือการเข้าใจ บทสนทนา ปวดศีรษะเฉียบพลันแบบไม่มีสาเหตุ รวมถึงอาการวิงเวียนหรือวูบแบบเฉียบพลัน หากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อไรให้ไปพบแพทย์ทันที เพราะความแตกต่างระหว่างรายที่มีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต กับรายที่มีอาการไม่รุนแรงนัก ขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยถึงมือแพทย์ได้เร็วเพียงใดอย่างเดียวเท่านั้น

ส่วนวิธีการป้องกันโรค คุณหมอชาญพงศ์แนะนำว่า วิธีที่ดีที่สุดคือการดูแลตัวเองแบบง่ายๆ และทำอย่างสม่ำเสมอ คือ การพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเลือกที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ออกกำลังกายและตรวจสุขภาพประจำปีจะช่วยได้อย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะเป็นการตรวจเพื่อหาปัจจัยเสี่ยง ถ้าเจอแล้วคุมได้นั่นหมายถึงการซื้ออนาคตที่จะไม่ให้ตัวเองเป็นอัมพาตได้ในภายหน้า โรคบางอย่างในระยะแรกๆ ไม่มีอาการบ่งบอกเลย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เพราะฉะนั้นอย่ารอให้มีอาการแล้วค่อยไปตรวจ

คุณหมอชาญพงศ์กล่าวต่ออีกว่า เช่นเดียวกับอาการโรคหลอดเลือดสมองแตก-ตีบตัน สามารถตรวจได้โดยวิธีการตรวจสมองด้วยคอมพิวเตอร์ (CT Scan) เป็นการตรวจดูความผิดปกติของหลอดเลือดสมองว่า มีการแตก-ตีบตัน หรือไม่ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเฉียบพลันมาถึงโรงพยาบาลภายใน 3 ชม.แรกที่มีอาการ และการตรวจสมองด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก (MRI) เป็นการถ่ายภาพเอกซเรย์สมองแม่เหล็กที่สามารถให้รายละเอียดของสมองได้ดีและชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถบอกได้ว่า หลอดเลือดอุดตันและเนื้อสมองที่ตายเกิดมานานหรือยัง การรักษาสามารถช่วยให้เนื้อตายกลับฟื้นมาใหม่ได้หรือไม่ การตรวจนี้ยังตรวจสภาพหลอดเลือดได้โดยไม่ต้องฉีดสีเข้าร่างกายอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เลือกซุ้มดอกไม้ ให้เหมาะกับโทนสี


เลือกซุ้มดอกไม้ ให้เหมาะกับโทนสี
เฮ้อ! หลังจากตกลงเลือกสถานที่จัดเลี้ยงได้แล้ว บ่าว-สาวหลายคู่คงคิดว่าหมดเรื่องปวดหัวแล้วล่ะสิ ยังค่ะยังไม่หมดเพราะภารกิจอันใหญ่หลวงอีกหนึ่งอย่าง ที่ต้องคิดหนักก็คือ "ดอกไม้" หรือ "ซุ้มดอกไม้" ที่ใช้ตกแต่งงานนั่นเอง

"ดอกไม้" หรือ "ซุ้มดอกไม้" นับเป็นปราการด้านแรกที่จะดึงดูดผู้คนและสะท้อนถึงรสนิยม ความชอบ ของคู่บ่าว-สาว และคู่บ่าว-สาวต้องใช้ "ดอกไม้" หรือ "ซุ้มดอกไม้" ไว้ต้อนรับและใช้เป็นฉากถ่ายรูป เพื่อลงหลักฐานการมาร่วมแสดงความยินดีของแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายอีกด้วย ถ้าหากเลือกดอกไม้ไม่ดีไม่เข้ากันทุกอย่างก็จบ

... เท่านี้ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมคะว่า "ซุ้มดอกไม้" นี้สำคัญขนาดไหน เพราะฉะนั้น เรามาเริ่มติวกันเรื่อง "ซุ้มดอกไม้" เลยดีกว่าค่ะ ...

สิ่งแรกที่จะขอแนะนำคือ...การเลือกโทนสีค่ะ เพราะต้องเลือกให้เหมาะสมกับธีมของงาน และถ้าจะเอาสีที่รับประกันสวยก็ต้องโทนสีชมพู ไม่ว่าจะเป็นชมพูล้วน ชมพูขาว ชมพูเหลือง หรือชมพูเขียว ก็สวยปิ๊งทั้งนั้น

ถ้าบ่าว-สาวเป็นพวกชอบความสดใสร้อนแรงก็ต้องสีแดงค่ะ แต่จะทำยังไงไม่ให้มันดูร้อนแรงเกินไป ก็ต้องพยายามให้ออกมาเป็นแดงหลายเฉดสี เช่น จากที่จะใช่ดอกกุหลาบแดงทั้งหมด ก็หันมาใช้ดอกไม้สีแดงชนิดอื่นๆ ที่สดกว่า เช่น ดอกหงอนไก่ คาร์เนชั่นสีแดง แซมเพิ่มเข้าไป เพราไม่อย่างนั้นงานจะออกมามืดเกินไป และลองตกแต่งเค้กแต่งงานด้วยสตอเบอรรี่สีสด ก็ดูเข้ากันดีค่ะ

แต่ถ้าชอบสีขาวกับสีเขียวซึ่งเป็นสีกลางก็โชคดีไปค่ะ เพราะสามารถเข้าได้กับทุกโทนและถ้าอยากแต่งงานออกมาเป็นสีขาวกับสีเขียวเลย ก็ต้องเพิ่มเขียวให้มีลูกเล่นหน่อยนะคะ จะแซมแอปเปิ้ลเขียวกับองุ่นเขียว หรือฝักบัวเขียวก็เก๋ไก๋ไปอีกแบบ

อย่างไรก็ตาม ถ้าเราอยากเลือกสีโทนแปลกใหม่ ลองขอดูงานที่โรงแรมเคยจัดออกมาแล้วดูว่าชอบ หรือไม่ก่อนจะตัดสินใจนะคะ หรือจะเลือกสีอะไรก็ได้แต่ขอให้อยู่ในโทนเดียวกัน จะเลือกโทนร้อนก็ร้อนไปเลยคะ จะเลือกโทนเย็นก็คุมไว้ให้อยู่โทนเย็น เพื่อความสวยงามของงานค่ะ

และถ้าต้องเลือกสีโทนร้อนมาผสมกับโทนเย็นสิ่งที่จะได้คือสีโทนเย็น ซึ่งมักจะเป็นสีอ่อนสีสว่างจะโดดเด่นออกมามากๆ ในขณะเดียวกันก็ข่มทำให้สีโทนร้อนซึ่งมักจะเข้มอยู่แล้วให้มืดทึมเข้าไปอีก พอถ่ายรูปออกมาสีจะโดดกันดูไม่กลมกลืนคะ บางคนอาจจะแอบอยากเถียงว่าเคยเห็นดอกไม้ที่ผสมสีแปลกๆ ออกมาแล้วสวยก็มี แต่จอแนะนำคู่บ่าวสาวให้ลดความเสี่ยงที่งานตกแต่งจะออกมาไม่สวยดีกว่าค่ะ

ซุ้มดอกไม้ ก็มีสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเหมือนกัน และสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือสีขาวโพลนค่ะ โดยเฉพาะฉากผ้าสีขาวถึงแม้จะดูสวยสะอาดตา แต่จะทำให้เจ้าสาวดูด้อยไม่สวยไม่เด่น เพราะก็ชุดเจ้าสาวเป็นสีขาวแล้วการที่ยืนอยู่กับฉากพื้นขาวยิ่งทำให้เจ้า สาวดูกลืนกับฉากไป ที่สำคัญทำให้เจ้าสาวผิวคล้ำกว่าตัวจริง ไม่ว่าเจ้าสาวจะผิวขาวขนาดไหน แต่ถ้าอยากใช้ฉากข้างหลังเป็นผ้าก็ขอแนะนำเป็นผ้าสีทอง ผ้าสีเงินก็ยังจืดแต่ก็ยังสวยดูดีกว่าสีขาวค่ะ

ผลไม้ดองมีอันตราย


ผลไม้ดองมีอันตราย
ใครที่ชอบทานผลไม้ดอง ไม่ว่าจะเป็น มะม่วงดอง มะยมดอง ฝรั่งดอง หรือผลไม้ชนิดอื่นๆ แล้วทราบหรือไม่ว่า ผลไม้พวกนี้มีอันตรายต่อร่างกาย วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน

สารแซคคารีน หรือที่เรียกว่าขัณฑสกร เป็นสารที่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 300-400 เท่า เนื่องจากเป็นสารที่มีราคาถูกกว่าน้ำตาล จึงทำให้พ่อค้าแม่ค้านิยมนำมาใส่ในผลไม้ เพื่อเพิ่มความหวาน โดยที่ไม่รู้ว่า สารชนิดนี้นอกจากจะไม่มีประโยชน์ แล้วยังมีโทษทัณฑ์อีกด้วย เพราะถ้าร่างกายได้รับสารนี้เข้าไปในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ

ในหลายประเทศจึงประกาศห้ามใช้ ไม่ว่าจะในแคนาดา นิวซีแลนด์ ประเทศในยุโรปอีกหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย สถาบันอาหารได้สุ่มตัวอย่างผลไม้จำนวน 5 ตัวอย่าง เพื่อนำมาวิเคราะห์ตรวจหาสารขัณฑสกร ผลปรากฏว่า เกือบทุกตัวอย่างพบสารชนิดนี้ปนเปื้อนอยู่ แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ 4 ใน 5 ตัวอย่างที่นำมาวิเคราะห์นั้นปนเปื้อนในปริมาณที่สูงมาก

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แพนด้าน้อย หลินปิง อายุครบ 100 วันแว้ว!!



แพนด้าน้อย หลินปิง อายุครบ 100 วันแว้ว!!

เมื่อวันที่ 24 ส.ค. นายประเสริฐศักดิ์ บุญตระกูลพูนทวี หัวหน้าโครงการวิจัยส่วนจัดแสดงหมีแพนด้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการตรวจสุขภาพของหลินปิง ว่า ฟัน 2 ซี่เหมือนเดิม ทั้งซ้ายขวาและมีความแหลมคมมากขึ้น ตาหลินปิงแป๋วขึ้น มีการจ้องมองวัสดุที่หลินปิงต้องการดูและสงสัย

ส่วนการได้ยินนั้นทางทีมงานวิจัยยังคงไม่ได้ทดสอบอะไรมากมายนัก เรื่องการได้ยินของ หลินปิง จึงยังอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ส่วนเรื่องการส่งเสียงร้องนั้น หลินปิงจะส่งเสียงร้องแสดงอารมณ์ เช่น เครียด กลัว โมโห หรือชอบใจ ก็จะส่งเสียงร้อง สุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี

สำหรับเรื่องการจัดงานอายุครบ 100 วัน หลินปิงนั้น ได้มีการประชุมแล้วและจะใช้ชื่อในการจัดงานอายุครบ 100 วันของหลินปิง เป็นภาษาจีนว่า "ไป่เย่อชิงเปี่ยน" แปลเป็นภาษาไทยว่า "งานเฉลิมฉลอง 100 วัน" โดยกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 4-5-6 กย. 52

สำหรับรูปแบบการจัดงานนั้นจะเน้นในเรื่องของประเพณีของจีน ซึ่งได้มีการปรึกษากับกงสุลใหญ่สาธารณประชาชนจีนประจำประเทศไทยแล้วว่าจะจัดงานหลินปิงครบ 100 วันในรูปแบบประเพณีของจีนได้หรือไม่อย่างไร ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าได้ไม่มีปัญหาอะไร โดยทางเราได้ติดต่อทางนายกสมาคมจีนประจำจังหวัดเชียงใหม่ ใหม่มาร่วมพิธีและการเสนอแนะรูปแบบการจัดงานรูปแบบประเพณีของจีนแล้ว

รู้จัก 3 แชมป์โลกหมาดๆ วงการกีฬาไทย


รู้จัก 3 แชมป์โลกหมาดๆ วงการกีฬาไทย


ขณะที่อุณหภูมิการเมืองในเดือนสิงหาคมรุ่มร้อนยิ่งนัก 3 นักกีฬาเยาวชนไทยทำให้คนไทยยิ้มได้ด้วยการคว้าแชมป์โลกมาครองพร้อมๆกัน อย่างที่ไม่มีใครคาดคิดและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

นักกีฬาทั้งสามไม่ได้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายกันมากนักทั้งในวงการกีฬาและคนทั่วไป เนื่องจากเป็นนักกีฬาระดับเยาวชนเพิ่งเข้าสู่วงการได้ไม่นานนัก

รายแรก กีระติ บัวลง ไอ้หนุ่มสูงยาวเข่าดีวัย 16 ปีจากนครพนม เปิดฉากการคว้าแชมป์โลกประวัติศาตร์ ในการแข่งขันเรือใบเลเซอร์ เรเดียล เยาวชนชิงแชมป์โลก 2009 ที่เมืองคารัตซุ ประเทศญี่ปุ่น วันที่ 3-10 สิงหาคม การแข่งขันมีเรือ 125 ลำจาก 25 ประเทศทั่วโลกเข้าชิงชัย

แชมป์โลกของกีระติได้มาแบบต้องลุ้นกันในวินาทีสุดท้ายจริงเนื่องจากแข่งเสร็จก็ยังไม่รู้ต้องรอผลคะแนนรวมเพราะคะแนนสูสีกันเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเฉือนกันแค่เงา

การแข่งขันใช้ระบบ 12 รอบคิด 10 รอบที่ดีที่สุด จบ 8 รอบกีระติมีคะแนนมาเป็นอันดับสองตามหลังอาเรียน อเล็กซานเดอร์ นักแล่นใบจากโปแลนด์ 14 คะแนนเหลือการแข่งขันเพียง 2 รอบในวันสุดท้าย รอบแรกกีระติเข้ามาเป็นอันดับ 2 ขณะที่โปแลนด์อันดับ 21 รอบสองหรือรอบสุดท้ายสมาธิของกีระติอยู่ที่อเล็กซานเดอร์อย่างเดียวคือต้องสกัดและหนีเข้าเส้นชัยให้อันดับห่างกันที่สุด กีระติเข้าเส้นชัยอันดับที่ 7 นักแล่ใบโปแลนด์ อันดับ 17

สิ้นสุดการแข่งขันทุกคนรอด้วยความระทึกไม่มีใครตอบได้ว่าใครจะเป็นแชมป์ระหว่างกีระติกับอเล็กซานเดอร์ต้องรอคะแนนรวมจากคณะกรรมการผลนักกีฬาทั้งสองมีคะแนนเสียเท่ากัน 43 คะแนนต้องตัดสินแชมป์โดยดูผลงาน 4 รอบสุดท้ายผลกีระติทำได้ดีกว่าจึงคว้าแชมป์โลกมาครอง

"ท็อป" กีระติ เป็นชาวนครพนม ช่วงปิดเทอดพ่อมามาเยี่ยมญาติที่สัตหีบและได้รับการชักชวนให้เข้ามาเข้าคอร์สเล่นเรือใบก่อนจะติดใจย้ายมาอยู่สัตหีบตั้แต่ 9 ขวบ แต่ไม่ประสบความสำเร็จทำให้ท้อคิดเลิก จนผู้ฝึกสอนต้อนปรับจากเรือออฟติมิสต์มาเล่นเรือใหญ่กว่าอย่างเลเซอร์ เนื่องจากกีระติมีรูปร่างที่ใหญ่โตกว่าเด็กปกติ ไม่เหมาะกับเรืออย่างออฟติมิสต์

ปี 2008 กีระติ เริ่มหันมาเล่นเรือเลเซอร์อย่างจริงจัง ในเรือเลเซอร์ 4.7 สร้างความประหลาดใจด้วยการไปคว้าอันดับ 6 ในการชิงแชมป์โลก 2008 ที่โครเอเชีย ต้นปี 2009 กีระติ หันมาเล่นเรือเลเซอร์ เรเดียล ยิ่งต้องทำให้ทุกคนงงเป็นไก่ตาแตกที่พัฒนารวดเร็วมาก

ท็อป กล่าวว่า หลังจากผ่านรอบ 4 มั่นใจว่าได้รองแชมป์แน่ๆ ในการแข่งขันสองรอบวันสุดท้ายไม่กดดันอะไรเนื่องจากมีรองแชมป์อยู่ในมือเกินเป้าหมายแล้ว แต่สู้เต็มที่ดีใจมากที่ทำสำเร็จ ไม่คาดคิดว่าจะมาได้ไกลถึงแชมป์โลก ที่เข้ามาเล่นเรือใบเพราะเป็นกีฬาที่สนุก แต่ก็ได้ทุ่มเทอย่างมากจนต้องหยุดเรียน

"เป้าหมายต่อไปของผมอยู่ที่เอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 16 พ.ศ.2553 และการเข้ารอบสุดท้ายไปแข่งขันโอลิมปิคเกมส์ ค.ศ.2012 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ"

ร.อ.วีรสิฐ พวงนาค ผู้ฝึกสอนชาวไทย กล่าวว่า สมาคมแข่งเรือใบตั้งเป้าผลักดันและส่งเสริมให้กีระติเป็นนักกีฬาเรือใบคนแรกของประเทศไทยที่ผ่านการคัดเลือกเข้าแข่งขันรอบสุดท้าย

คนต่อมานพพล แสงคำ นักสนุกเกอร์วัย 17 ปีเจ้าของฉายาหมู ปากน้ำ ที่คว้าแชมป์สนุกเกอร์เยาวชนชิงแชมป์โลก ค.ศ.2009 ที่ประเทศอิหร่าน วันที่ 14 สิงหาคม โดยรอบชิงชนะเลิศชนะโซฮิว วาฮิดี นักสนุกเกอร์อิหร่านสุดเร้าใจ 9-8 เฟรม

นพพล เป็นคนปากน้ำสมุทรปราการโดยกำเนิด พ่อทำกิจการโต๊ะสนุกเกอร์ แต่ไม่ได้อยากเล่น กระทั่งอายุ 14 ปี เริ่มสนใจฝึกซ้อมประมาณ 1 ปีก็ประสบความสำเร็จได้เป็นตัวแทนการแข่งขันสนุกเกอร์นักเรียนภาคกลางได้เข้าไปแข่งขันในรอบสุดท้ายพร้อมกับคว้ารองแชมป์มาครองในปี 2551 จากนั้นก็เข้าสู่สงการสนุกเกอร์อาชีพอย่างเต็มตัวในเวลาต่อมา

ตำแหน่งแชมป์เยาวชนโลกทำให้ได้สิทธิไปเล่นสนุกเกอร์อาชีพโลกที่อังกฤษในฤดูกาลหน้า สมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทยตั้งเป้าจะปั้นหมูเป็นตัวแทนตัวตาย ต๋อง ศิษย์ฉ่อย รัชพล ภู่โอบอ้อม ในอนาคต

หมู กล่าว่า ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะไปได้ไกลขนาดเป็นแชมป์โลก ก่อนการแข่งขันตั้งป้าไว้แค่ผ่านรอบแรกเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่ผ่านเข้ารอบก็มีความมั่นใจเพิ่มด้วยเช่นกัน การได้โอกาสไปเล่นสนุกเกอร์อาชีพที่อังกฤษจะพยายามทำให้ดีที่สุด ปัจจุบันเตรียมตัวอย่างดีด้วยการฝึกซ้อมอย่างหนักพร้อมกับเรียนภาษาอังกฤษไปด้วยแม้จะไม่มีเวลามากนักก็ตามที

แชมป์โลกเดือนสิงหาคมของไทยคนสุดท้ายในเดือนสิงหาคมคือ ด.ญ.นพเก้า พูนพัฒน์ วัย 13 ปี ในการแข่งขันเรือใบออฟติมิสต์ ชิงแชมป์โลก ค.ศ.2009 ที่บราซิล ระหว่างวันที่ 4-15 สิงหาคม นอกจากคว้าแชมป์บุคคลแล้วยังเป็นกำลังสำคัญนำทีมชาติไทยครองอันดับ 4 ประเภททีมได้อีกด้วย

นพเก้า ถือเป็นลูกไม่หล่นไม่ไกลต้น เนื่องจากเป็นลูกของร.ต.สมเกียรติ พูนพัฒน์ อดีตนักเรือใบทีมชาติไทยที่ปัจจุบันผันตัวมาเป็นโค้ช นพเก้าเริ่มเล่นกีฬาเรือใบตั้งแต่อายุ 6 ขวบเศษมีพัฒนาการที่เร็วมาก ก่อนคว้าแชมป์โลกนพเก้าประกาศศักดาครองแชมป์มาแล้วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียรวมทั้งแชมป์ซีเกมส์ ครั้งที่ 24 ที่นครราชสีมา พ.ศ.2550

สมาคมเรือใบเตรียมสนับสนุนนพเก้าให้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 16 ที่ประเทศจีน พ.ศ.2553 ก่อนจะผลักดันให้หันไปเล่นเรือประเภทอื่นเพื่อกรุยทางสู่การแข่งขันโอลิมปิคเกมส์ต่อไป เนื่องจากเรือออฟติมิสต์กำหนดอายุนักกีฬาไว้ที่ไม่เกิน 14 ปีรวมทั้งไม่มีในการแข่งขันโอลิมปิคเกมส์ ค.ศ.2012 ที่อังกฤษ

อย่าพลาดติดตามผลงานของนักกีฬาทั้งสาม ด้วยศักยภาพและวัยที่มีระยะเวลาการใช้งานอีกยาวไกล เชื่อว่าจะสร้างผลงานให้กับตัวเองและประเทศชาติอีกมากมายอย่างแน่นอน

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

400ปี กล้องโทรทรรศน์ กาลิเลโอ


400ปี กล้องโทรทรรศน์ กาลิเลโอ
เมื่อ 400 ปีก่อน ในราวปี ค.ศ. 1609 กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ และนักดาราศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อก้องโลก ได้บุกเบิกการสำรวจท้องฟ้าด้วย กล้องโทรทรรศน์ กำลังขยาย 30 เท่า เป็นกล้องดูดาวแบบหักเหแสงที่เขาประดิษฐ์เองอย่างง่ายๆ ส่องสำรวจจักรวาลเป็นครั้งแรก โดยเขาสำรวจดวงจันทร์, ดาวพฤหัส และค้นพบดาวบริวารทั้งสี่ของดาวพฤหัส และเสนอทฤษฎีที่ว่า โลกกลม ...นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มสำรวจจักรวาลโดยใช้กล้องโทรทรรศน์ และนำมาซึ่งการค้นพบสำคัญๆ อีกมากมาย

ทั้งนี้ กล้องโทรทรรศน์ ดังกล่าว ถูกเรียกเพื่อเป็นเกียรติแก่ กาลิเลโอ ว่า "กล้องดูดาวแบบกาลิเลโอ" (Galileo's Telescope) สำหรับกล้องโทรทรรศน์หักเหแสงของกาลิเลโอนั้น เลนส์วัตถุจะเป็นเลนส์นูน และเลนส์ตาจะเป็นจากเลนส์เว้า ข้อดีของการใช้ระบบเลนส์แบบนี้คือ ภาพที่ได้จะเป็นภาพหัวตั้งโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์อื่นมาช่วย แต่ข้อเสียของการใช้เลนส์เว้าเป็นเลนส์ตาคือ ระบบกล้องจะมีมุมมองภาพที่แคบมาก

อย่างไรก็ดี การเพิ่มกำลังขยายของ กล้องดูดาวแบบกาลิเลโอ หรือกล้องโทรทรรศน์แบบหักเหแสงนี้ จะแปรผันตามระยะโฟกัสของเลนส์วัตถุ นั่นคือ การทำให้กำลังขยายของกล้องดูดาวเพิ่มขึ้น ระยะโฟกัสจะต้องมากขึ้น เลนส์ก็ต้องมีขนาดใหญ่ขึ้น และความยาวของกล้อง ก็ต้องมากตามไปด้วย ทำให้มีข้อจำกัดของกล้องประเภทนี้ อยู่ที่ความยาวของตัวมันเอง เนื่องจากเมื่อของเส้นผ่านศูนย์กลางเลนส์ เกิน 1 เมตรแล้ว มันจะรับน้ำหนักของตัวมันเองไม่ไหวนั่นเอง

ต่อมา โยฮันเนส เคปเลอร์ ได้พยายามต่อยอดความคิดของ กาลิเลโอ โดยใช้เลนส์นูนเป็นเลนส์ตาของกล้องโทรทรรศน์แทน ซึ่งทำให้ระบบกล้องโทรทรรศน์ให้ภาพกลับหัว และมีมุมมองภาพกว้างขึ้น ระบบเลนส์แบบนี้ได้ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การถ่ายภาพสถาปัตยกรรม


การถ่ายภาพสถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรม (Architecture) คือสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมีทั้งประโยชน์โดยตรง เช่น การสร้างบ้านเรือนเพื่อการอยู่อาศัย ตึกขนาดใหญ่เพื่อเป็นสำนักงาน โบสถ์วิหารเพื่อทำกิจกรรมทางด้านศาสนา สะพานหรือทางด่วนสำหรับการสัญจรไปมา ฯลฯ และประโยชน์โดยทางอ้อมเช่น การสร้างอนุสาวรีย์เพื่อการระลึกถึงบุคคลหรือเหตุการณ์สำคัญ การสร้างสถูปเจดีย์เพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา เป็นต้น

ตัวของสถาปัตยกรรมเองถือเป็นงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการก่อสร้าง ซึ่งยังนับรวมไปถึงการวางผังเมืองหรือแผนผังของบริเวณโดยรอบ การตกแต่งอาคาร การจัดสรรที่ว่างให้เกิดประโยชน์ใช้สอยได้ตามความต้องการ ความงดงามและคุณค่าของสถาปัตยกรรม จึงขึ้นอยู่กับการจัดสรรที่ว่างให้สัมพันธ์กันของส่วนต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก การจัดรูปทรงทางสถาปัตยกรรมให้เหมาะกับประโยชน์ใช้สอยและสิ่งแวดล้อม และการเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกลมกลืน

ที่ยกความหมายของสถาปัตยกรรมขึ้นมาก่อนก็เพื่อให้ชัดเจนและเข้าใจตรงกันว่าสิ่งที่เรากำลังจะถ่ายภาพกันอยู่นี้ ขอบเขตมันครอบคลุมถึงตรงไหนซึ่งหากจะว่ากันตามตรงนอกจากการถ่ายภาพสิ่งก่อสร้างนานาประเภทจากภายนอกแล้ว การถ่ายภาพภายในอาคารหรือที่เรานิยมเรียกทับศัพท์ว่า อินทีเรีย (Interior) ก็นับเป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายภาพสถาปัตยกรรมได้เช่นกัน

แต่การถ่ายภาพสถาปัตยกรรมที่จะพูด(เขียน)ถึงต่อไปนี้ ผู้เขียนขอแยกการถ่ายภาพประเภทอินทีเรียไว้ต่างหากไม่นำมารวมกัน เนื่องเพราะการถ่ายภาพอินทีเรียเองไม่ใช่เรื่องเล็กๆ และมีเทคนิคปลีกย่อยมากมายอันแตกต่างไปจากการถ่ายภาพอาคารสถานที่จากภายนอก

ส่วนการถ่ายภาพแบบตัดส่วนใดส่วนหนึ่ง (ครอป) ในมุมเล็กๆ ของสถาปัตยกรรม ถ้าหากว่าพื้นที่มันไม่เล็กจนเกินไปก็อาจพอกล้อมแกล้มนับรวมเข้าไว้ในภาพถ่ายสถาปัตยกรรมได้เช่นกัน

แบบไหนคืองานสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ

งานสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจในแง่ของการถ่ายภาพ อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสวยงามหรือรางวี่รางวัลใดๆ จากสมาคมสถาปัตฯ ไม่ขึ้นกับความเก่าหรือใหม่ ทั้งยังไม่ขึ้นกับสภาพที่ต้องพร้อมใช้งานหรือเป็นเพียงอาคารรกร้างเสื่อมโทรม แต่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ถ่ายภาพเองเป็นหลักว่าจะมองเห็นความสวยงามใดๆ ในสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นหรือไม่

ดังนั้น แม้จะเป็นเพียงตึกเก่าโทรมที่ถูกทุบบางส่วนทิ้งไปบ้าง บ้านเรือนอันผุกร่อนตามกาลเวลาที่ผิวสีแตกลายงาหรือขึ้นตะไคร่จนเขียวครึ้ม หากมองเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีความงดงามซ่อนอยู่ ก็ย่อมมีความน่าสนใจสำหรับการถ่ายภาพ ทั้งยังสามารถถ่ายทอดเป็นภาพที่สวยงามได้แน่

หาข้อมูลล้วงให้ลึกถึงรายละเอียด

งานสถาปัตยกรรมเด่นๆ ส่วนใหญ่มักจะมีเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร เป็นต้นว่ารูปโดมของหลังคา การถ่ายเทน้ำหนักด้วยผนังโค้งแบบอาร์ช (Arch) การใช้คันทวยรับน้ำหนักหลังคา การก่อผนังแบบหนาโดยไม่ใช้เสา การใช้สลิงขนาดใหญ่เป็นตัวรับน้ำหนักแทนเสาและคาน การออกแบบให้มีรูปทรงแบบสมมาตร ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถ้าหากไม่ศึกษาหาข้อมูลมาก่อน เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจุดไหนส่วนใดที่ควรเน้นเป็นพิเศษ

หรือถ้าหากเป็นสิ่งก่อสร้างจำพวกวัดหรือโบราณสถาน ก็มักจะมีสิ่งสำคัญซุกซ่อนอยู่ในบางส่วนของอาคารนั้นๆ อย่างเช่นภาพสลักนูนต่ำรอบระเบียงคตของมหาปราสาทนครวัด และปราสาทบายน ลายต้นทองอันวิจิตรงดงามด้านหลังสิมของวัดเชียงทอง คีย์สโตนซึ่งแกะสลักเป็นรูปหัวเมดูซ่าในอาคารหลังหนึ่งของอิฟิซุส

สิ่งเหล่านี้คือส่วนประกอบอันสำคัญยิ่งที่ทำให้สถาปัตยกรรมมีความงามเปี่ยมคุณค่า หากเราสามารถถ่ายภาพให้แสดงจุดเด่นของสถาปัตยกรรมแห่งนั้นๆ ได้ชัดเจน ก็ย่อมจะทำให้ภาพของเรามีคุณค่ามากยิ่งขึ้นไปด้วย

ข้อมูลสำคัญอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ ผังของอาคารและแผนผังโดยรวมของสถานที่ ข้อมูลในส่วนนี้จะทำให้เราทราบว่า จุดสำคัญต่างๆ ที่ค้นได้นั้นมันอยู่ตรงบริเวณไหนส่วนไหน ประกอบไปกับว่ามันอยู่ในทิศทางใด อันจะทำให้เราวางแผนกะเกณฑ์เวลาที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายภาพอย่างคร่าวๆ ได้

ทิศทางแสง สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการถ่ายภาพสถาปัตยกรรม

จะว่าไปแล้วทิศทางแสงถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการถ่ายภาพแทบจะทุกประเภทก็ว่าได้ แต่กับงานถ่ายภาพสถาปัตยกรรมถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะเราไม่สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งก่อสร้างใดๆ ให้อยู่ในจุดที่ต้องการได้ นักถ่ายภาพสามารถทำได้เพียงค้นหามุมที่ต้องการจะถ่ายภาพและรอถ่ายภาพนั้นในช่วงเวลาซึ่งมีทิศทางแสงที่เหมาะสม ซึ่งก็คือแสงเฉียงเข้าจากทางด้านหน้าของจุดที่จะถ่ายภาพ

คุณสมบัติที่สำคัญของแสงเฉียงเข้าจากทางด้านหน้าวัตถุก็คือ มันเป็นแสงที่ให้มิติและรูปทรงของวัตถุได้ดีมาก สามารถกลบจุดอ่อนของภาพถ่ายซึ่งเป็นสื่อสองมิติที่มีเพียงด้านกว้างและด้านยาว ให้มองเห็นถึงมิติที่สามคือความลึกได้ชัดเจนกว่าทิศทางแสงอื่นๆ แม้จะต้องแลกด้วยรายละเอียดในส่วนที่เป็นเงามืดไปบ้างแต่ต้องถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า

และเราสามารถลดความแตกต่างของแสงลงเพื่อให้เห็นรายละเอียดในส่วนที่อยู่ในเงามืดได้บ้าง ด้วยการเลือกถ่ายภาพในช่วงเวลาที่แสงมีความเข้มน้อย ก็คือโมงยามที่พระอาทิตย์เพิ่งจะพ้นขอบฟ้า หรือก่อนจะลาลับไป รวมไปถึงเวลาที่มีเมฆบางๆ มาบดบังดวงอาทิตย์ไว้ และถ้าหากเป็นการถ่ายแบบตัดส่วนในมุมเล็กๆ ก็อาจใช้แสงจากแฟลช จากแผ่นรีเฟล็กซ์ หรือจากหลอดไฟประเภทต่างๆ เปิดรายละเอียดให้เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน

ดังนั้น ช่วงเวลาดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพสถาปัตยกรรมจึงเริ่มตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงเก้าโมงเช้า และหลังบ่ายสามจนถึงพระอาทิตย์ตก โดยเฉพาะงานสถาปัตยกรรมประเภทวัด เจดีย์ และโบราณสถานต่างๆ ถ้าได้แสงสีทองๆ ของช่วงเช้าหรือเย็นมาอาบไล้บนพื้นผิว ก็จะยิ่งช่วยทำให้สถาปัตยกรรมนั้นดูโดดเด่นมลังเมลืองมากยิ่งขึ้น

กับโบราณสถานบางแห่งหรือตึกบางหลังที่มีการยิงแสงสปอตไลท์เสริมส่องในยามค่ำคืน นั่นถือเป็นโบนัสพิเศษของนักถ่ายภาพ ด้วยการใช้ช่วงเวลาก่อนฟ้าจะมืดสนิทเล็กน้อยถ่ายภาพเก็บไว้ แม้ว่าวันนั้นอาจจะเป็นวันที่มืดครึ้มฟ้าขาวซีดตลอดทั้งวัน แต่มันจะมีช่วงเวลาสั้นๆ ราวสิบนาทีหลังพระอาทิตย์ตก ที่ฟ้าจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มก่อนจะกลายเป็นสีดำสนิทของยามรัตติกาล แม้มันเป็นคู่สีตรงกันข้ามแต่ก็เข้ากันได้ไปกันดีกับสีเหลืองจากไฟสปอตไลท์

เรื่องของเลนส์

หากมองในแง่เทคนิคของการถ่ายภาพแล้ว เลนส์ที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพสถาปัตยกรรมควรจะเป็นเลนส์นอร์มอลหรือเลนส์ 50 มม. นั่นเอง เพราะเป็นทางยาวโฟกัสที่ให้สัดส่วนและระยะของภาพถูกต้องสมจริง ไม่มีความบิดเบือนของภาพเกิดขึ้นจนทำให้สถาปัตยกรรมนั้นๆ ดูบิดเบี้ยวผิดรูปทรงที่แท้จริงไป

แต่หากมองในแง่ของความงดงามทางศิลป์ การที่สัดส่วนผิดเพี้ยนไปอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญหรืออาจมองเป็นเรื่องดีได้ด้วยซ้ำ ในข้อที่ทำให้ได้ภาพดูแปลกตาออกไป ซึ่งเป็นผลอันเกิดจากการใช้เลนส์มุมกว้าง ปัญหานี้จะเกิดขึ้นและเห็นผลได้ชัดกับเลนส์มุมกว้างมากๆ ตั้งแต่ทางยาวโฟกัส 24 มม. ลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากถ่ายภาพในระยะใกล้และถ่ายภาพในมุมแหงน ก็จะทำให้ส่วนยอดของสถาปัตยกรรมนั้นๆ เอียงลู่เข้าสู่บริเวณกลางภาพโดยชัดเจน ซึ่งสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการวางกล้องให้ได้ระนาบและวางกล้องไว้ในระดับกลางๆ ของความสูงของสถาปัตยกรรมนั้นๆ

และสำหรับเลนส์เทเลโฟโต้แม้ว่าจะไม่ทำให้สัดส่วนของภาพบิดเพี้ยนไป แต่ปัญหาก็คือมักจะไม่มีที่ทางให้ช่างภาพได้ถอยไปไกลๆ เพื่อเก็บตัวสถาปัตยกรรมนั้นๆ ได้หมดเต็มเฟรม

ส่วนกล้องระดับ DSLR 35 มม. จะมีเลนส์มุมกว้างพิเศษบางตัวที่สามารถแก้ความบิดเพี้ยนบริเวณขอบภาพได้ ด้วยการขยับชุดเลนส์ในแบบที่เรียกว่า "ทิลท์และชิฟท์" (Tilt&Shift) เพื่อให้ชุดเลนส์ได้ระนาบกับสิ่งที่จะถ่ายแม้ว่าจะตั้งกล้องเป็นมุมแหงนก็ตาม ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการใช้กล้องขนาดใหญ่หรือกล้องลาร์จฟอร์แมต (Large Format) ซึ่งมีเบลโลว (Bellow) ในตัว ตัวอย่างเช่นเลนส์ TS-E 24 mm. f/3.5L ของ Canon หรือเลนส์ PC-E NIKKOR 24 mm. f/3.5 D ED ของ Nikon

แต่เลนส์พิเศษประเภทนี้เป็นเลนส์ที่มีราคาสูงกว่าเลนส์ทางยาวโฟกัสเดียวกันค่อนข้างมาก และด้วยการออกแบบที่ต้องเผื่อพื้นที่ภายในเลนส์ให้ขยับได้ จึงไม่สามารถออกแบบให้มีช่องรับแสงกว้างมากได้ อีกทั้งยังไม่สามารถใช้ระบบโฟกัสอัตโนมัติได้อีกด้วย ผู้ใช้ต้องโฟกัสภาพด้วยมือเองทุกครั้ง มันจึงจัดอยู่ในเลนส์เฉพาะกิจที่ไม่ค่อยจะคุ้มค่าการลงทุนสำหรับนักถ่ายภาพโดยทั่วไป ที่ไม่ได้รับงานถ่ายทางด้านนี้โดยตรง

และในความเป็นจริงช่างภาพมืออาชีพหลายคนที่เลือกใช้เลนส์ตัวนี้ ไม่ได้ใช้มันเพื่อแก้ความบิดเพี้ยนให้ตรงแต่อย่างใด ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อบิดระนาบโฟกัสให้เบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริง เพื่อให้ได้ภาพที่ดูแปลกตาออกไป ประกอบกับในยุคปัจจุบันที่ซอฟท์แวร์ทางการตกแต่งภาพหลายตัวสามารถดัดแก้ความบิดเพี้ยนของภาพได้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว

ในความเห็นของผู้เขียนเองจึงไม่แนะนำให้ซื้อหามาใช้ถ้าไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง หรือเน้นหนักไปทางการถ่ายภาพในด้านนี้โดยตรง การใช้เลนส์มุมกว้างไม่ว่าจะทางยาวโฟกัสเดี่ยวหรือซูม ก็เพียงพอต่อการถ่ายภาพสถาปัตยกรรมแล้ว

หากไม่ต้องการให้ภาพมีความบิดเบือนมากเกินไป ก็เพียงแค่หาที่ถอยให้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หลีกเลี่ยงการใช้เลนส์ในช่วงทางยาวโฟกัสกว้างสุด ไม่แหงนกล้องมากเกินไป พยายามหาจุดถ่ายภาพที่สูงขึ้นกว่าพื้นสักเล็กน้อย ก็สามารถแก้ไขหรือลดปัญหาดังกล่าวได้

พึงระลึกเสมอว่าภาพที่สวยงาม ย่อมเกิดจากแนวความคิดและวิธีการถ่ายภาพของผู้ถ่ายภาพเองเป็นสำคัญ มิได้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์สักเท่าใด เรียนรู้การใช้อุปกรณ์ของตัวเองที่มีอยู่ให้เต็มประสิทธิภาพ เราเชื่อว่าภาพสวยๆ อยู่ไม่ไกลเกินไปจากมือ

เผยรายชื่อ 10 โรงแรม เจ้าของสถิติ ทั่วโลก


เผยรายชื่อ 10 โรงแรม เจ้าของสถิติ ทั่วโลก
สำหรับนักท่องเที่ยวผู้นิยมชมชอบในโรงแรมที่มีสถิติเป็นที่สุดของโลกในด้านต่าง ๆ เว็บไซต์ hotels.com ได้จัดอันดับโรงแรมในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีสถิติของความเป็นที่สุดใน 10 ด้านออกมา ได้แก่

1. โรงแรมที่สูงที่สุดในโลก คือ โรงแรม "เบิร์จ อัล อาหรับ" ในรัฐดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยโรงแรม 7 ดาวแห่งนี้มีความสูงอยู่ที่ 321 เมตร และถูกสร้างอยู่บนเกาะที่ได้รับการถมสร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือมนุษย์ ณ ท้องทะเลของรัฐดูไบ

2. โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก (พิจารณาจากจำนวนห้องพัก) คือ "เดอะ พาลาซโซ่ รีสอร์ต โฮเทล แอนด์ คาสิโน" ในเมืองลาสเวกัส มลรัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยโรงแรมแห่งนี้มีจำนวนห้องพักเป็นจำนวนมากถึง 8,108 ห้อง

3. โรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คือ โรงเตี๊ยม "โฮชิ เรียวกัน" ที่เมืองโคมัตสึ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเปิดให้บริการมามากกว่า 1,300 ปี โดยโรงเตี๊ยมขนาด 100 ห้องแห่งนี้ถูกดำเนินกิจการโดยคนในครอบครัวเดียวกันมาถึง 46 ชั่วอายุคนแล้ว

4. โรงแรมที่มีห้องพักราคาแพงที่สุดในโลก คือ ห้องพัก "รอยัล วิลล่า" ของ "แกรนด์ รีสอร์ต ลาโกนิสซี" ในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ โดยผู้ต้องการเข้าพักในห้องพักที่สามารถมองเห็นวิวของทะเลอีเจียนจากสระว่าย น้ำส่วนตัวที่มีเครื่องมือนวดในระบบพลังน้ำห้องนี้ จะต้องจ่ายค่าห้องพักในราคา 50,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,600,000 บาท ต่อหนึ่งคืน

5. โรงแรมที่ใช้งบประมาณในการก่อสร้างมากที่สุดในโลก คือ โรงแรม "เอมิเรตส์ พาเลซ" ในกรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยโรงแรมที่เปิดให้บริการเมื่อปี ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548) แห่งนี้ ใช้งบประมาณในการก่อสร้างถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 96,000 ล้านบาท จากการใช้เงิน ทอง และหินอ่อน เป็นวัสดุในการก่อสร้าง นอกจากนั้นโรงแรมแห่งนี้ยังติดตั้งโคมไฟระย้าที่ทำขึ้นมาจากแก้วคริสตัลของ "สวารอฟสกี้" เป็นจำนวนถึง 1,002 ชิ้น

6. โรงแรมที่มีห้องพักขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือ ห้อง "รอยัล สูท" ของ "เดอะ แกรนด์ ฮิลส์ โฮเทล แอนด์ สปา" ในเมืองบรวมมานา ประเทศเลบานอน โดยห้องพักดังกล่าวมีขนาด 8,000 ตารางเมตร กินพื้นที่ 6 ชั้น อันประกอบไปด้วยส่วนของห้องพัก สระว่ายน้ำสองสระ สวน ระเบียง และกระโจมส่วนตัวของผู้เข้าพัก

7. โรงแรมที่มีความหนาวเย็นที่สุดในโลก คือ "ไอซ์ โฮเทล" ในเมือง จุคคาสจาร์วิ ประเทศสวีเดน เพราะห้องพักทั้งหมดของโรงแรมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำแข็งและหิมะนั่นเอง

8. โรงแรมที่อยู่บนสถานที่ที่สูงที่สุดในโลก (พิจารณาจากความสูงของชั้นตึก) คือ โรงแรม "พาร์ค ไฮแอตต์" ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน โดยโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้น 79-93 ของอาคาร "เซี่ยงไฮ้ เวิลด์ ไฟแนนซ์" ซึ่งมีความสูงทั้งหมด 101 ชั้น

9. โรงแรมที่อยู่บนสถานที่ที่สูงที่สุดในโลก (พิจารณาจากการอยู่เหนือระดับน้ำทะเล) คือ "โฮเทล เอเวอเรสต์ วิว" ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาเอเวอเรสต์ ประเทศเนปาล โดยโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่บนความสูง 3,880 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

10. โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในโลก คือ "เดนทรี อีโค ลอดจ์ แอนด์ สปา" ในรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย โดยโรงแรมที่ตั้งอยู่ในเขต "ป่าหนาทึบเขตร้อนซึ่งมีฝนตกชุก" ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดแห่งนี้ ได้รับคำชื่นชมจากการพยายามสร้างมาตรฐานของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ผ่านการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน และมีไร่นาชีวภาพที่ใช้เพาะปลูกผลผลิตทางการเกษตรของตนเอง

โฮย่า ชนิดใหม่ พบขึ้นที่อุ้มผางแห่งเดียวในโลก


โฮย่า ชนิดใหม่ พบขึ้นที่อุ้มผางแห่งเดียวในโลก
ค้นพบพืชสกุล "โฮย่า" ชนิดใหม่ในโลก อาศัยตามซอกหินที่ป่าอุ้มผาง จ.ตาก อยู่ระหว่างตั้งชื่อและเตรียมตีพิมพ์เผยแพร่ปลายปีนี้ นักวิจัยพรรณไม้เผยต้องเร่งเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์ เพราะมีจำนวนน้อยและอยู่ในสภาพแวดล้อมเปราะบางจนใกล้สูญพันธุ์เต็มที

ดร.มานิต คิดอยู่ อาจารย์ประจำหน่วยปฏิบัติการวิจัยพรรณไม้ประเทศไทย ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากการศึกษาวิจัยและรวบรวมพืชสกุลโฮย่า (Hoya) พบว่า ในประเทศไทยมีพืชสกุลโฮย่าอย่างน้อย 45 ชนิด ซึ่งในจำนวนนี้มีพืชชนิดใหม่ที่เพิ่งค้นพบเป็นครั้งแรกในโลกคือ Hoya sp. อุ้มผาง เป็นโฮย่าที่พบในพื้นที่อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ซึ่งได้รับการตรวจสอบและยืนยันจากต่างประเทศแล้ว ขณะนี้กำลังตั้งชื่อวิทยาศาสตร์และเตรียมตีพิมพ์เผยแพร่อย่างเป็นทางการใน ปลายปีนี้

"โฮย่าชนิดใหม่นี้มีจุดเด่นคือ เป็นพืชที่พบเฉพาะในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวในโลก และถือว่าเป็นพืชหายาก ใกล้สูญพันธุ์ เพราะตอนที่ไปสำรวจพบโฮย่าชนิดนี้มีจำนวนน้อยเพียง 2-3 กอ ขึ้นอยู่ตรงหน้าผาหินที่มีการพังทลายของหินลงมาตลอด และที่สำคัญคือพบแค่ตรงจุดนี้เท่านั้น" ดร.มานิต เผย

ดร.มานิต กล่าวว่า พืชโฮย่าชนิดนี้มีลักษณะเป็นต้นสั้น มีรากยึดเกาะตรงบริเวณซอกหิน ไม่เลื้อยพันเหมือนกับโฮย่าส่วนใหญ่ใบมีขนาดเล็ก ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด จำนวน 4-7 ดอก แต่ดอกมีขนาดใหญ่ เมื่อบานเต็มที่จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบ 2 เซนติเมตร มีกลีบดอกสีขาว กระบังรอบสีชมพูอมม่วง เป็นรูปดาว 5 แฉก ส่วนแหล่งอาศัยค่อนข้างแปลกคือ ขึ้นตามซอกหินที่แตก ลำต้น และกิ่งทอดแนบกับหินทนต่อความแห้งแล้งได้ดี

การค้นพบพืชชนิดใหม่นี้ บ่งชี้ถึงความหลากหลายทางชีวภาพและความสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ในประเทศไทย ซึ่งตนและคณะนักวิจัยหน่วยปฏิบัติการวิจัยพรรณไม้ประเทศไทย คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ได้ร่วมมือทำงานมาตลอด โดย รศ.ดร.อบฉันท์ ไทยทอง ศึกษาพืชสกุลโฮย่าในไทยมีจำนวน 32 ชนิด และได้นำไปจัดทำหนังสือพรรณพฤกษชาติของไทย (Flora of Thailand) เป็นหนังสือรวบรวมรายชื่อพืชทุกชนิดในประเทศไทย พร้อมรายละเอียดลักษณะสัณฐานวิทยา นิเวศวิทยา และการกระจายพันธุ์ของพืช โดยใช้ระยะเวลาดำเนินงานมานานหลายปี จนกระทั่งล่าสุดตนและคณะได้สำรวจพบโฮย่าชนิดนี้

"ผมเจอต้นโฮย่านี้ด้วยความบังเอิญ และรู้สึกทึ่งที่เห็นมันขึ้นเจริญเติบโตอยู่ในซอกหิน ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ผันแปรตลอดเวลา หากไม่ค้นพบก็อาจจะทำให้สูญพันธุ์ไปตามกาลเวลา เพราะมีจำนวนน้อยมากและไม่มีแมลงช่วยผสมพันธุ์ ผมไปดูถึง 3 ครั้งก็ไม่พบการขยายพันธุ์ ดังนั้น ทางภาครัฐโดยเฉพาะจังหวัดตาก ควรจะเร่งเพาะเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์ให้ได้มาก ที่สุด เพราะจะเกิดประโยชน์ต่อการอนุรักษ์พรรณไม้หายาก และเป็นไม้ประดับที่สร้าง รายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย" ดร.มานิต กล่าว

สำหรับแนวทางการศึกษาวิจัยต้นโฮย่าชนิดใหม่นี้ คาดว่าเมื่อได้ตีพิมพ์ลงเผยแพร่อย่างเป็นทางการแล้ว จะดำเนินการเพาะเลี้ยง เนื้อเยื่อในห้องทดลองปฏิบัติการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างคิดค้นสูตรอาหารสำหรับเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์ให้เป็น ที่รู้จักแพร่หลายต่อไป

ทั้งนี้ พืชสกุลโฮย่า ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์เดียวกับต้นดอกรัก (Asclepiadaceae) ทั่วโลกมีจำนวนประมาณ 200 ชนิด ประเทศไทยเรียกขานพืชสกุลโฮย่าว่า "นมตำเลีย" โดยโฮย่าที่คนไทยนิยมเพาะเลี้ยงคือ หัวใจทศกัณฑ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ เหมาะแก่การเป็นไม้ประดับ

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

6 วิธีแก้เครียด


6 วิธีแก้เครียด


หนูมีวิธีแก้เครียด ดังนี้


ยิ้ม การยิ้มเป็นภาษากายที่ดีที่สุด เป็นการเปิดประตูของหัวใจรับความสุขและให้ความสุขแก่ผู้อื่น และชื่นชมตัวเองได้ด้วย จงคิดว่าเรายิ้มให้กับความดีของคนอื่น จงยิ้มอย่างสดชื่น อารมณ์ดีมีชีวิตชีวา

อย่ากังวล ความกังวลเกิดจากความคาดหวัง อยากจะได้ในสิ่งที่เป็นได้ยาก และใจจะคิดอยากได้อยู่เสมอ เมื่อหมดความแสวงหา ลดความต้องการ ลดความอยากได้ลง ก็จะได้ไม่เครียดและเป็นทุกข์ต่อไป

ความระแวง ความระแวงทำให้เป็นโรคเหงา คบใครๆ ก็ไม่สนิทสนมจากใจจริงและรู้สึกไม่ปลอดภัย เมื่ออยู่กับผู้อื่น ต้องทำอดีตให้เป็นอดีต อย่าทำอดีตให้เป็นปัจจุบันและกลัวอนาคต "เลิกคิดเถิด ความระแวง มะเร็งของความสุขของมนุษย์"

ความโกรธ ความโกรธเป็นอารมณ์ที่น่ากลัวและรุนแรงที่สุด การลดความโกรธมีหลายอย่าง เช่น การทำงานให้มากขึ้น ออกกำลังกาย สนใจศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติ เดินทางท่องเที่ยว ดนตรี เล่นกีฬา

อารมณ์ขัน อารมณ์ขันนี้เป็นยาวิเศษที่ทำให้มีความสุข ผ่อนคลายความตึงเครียด ทำให้เกิดมิตรภาพ มีความสนุกสนานและบรรยากาศรอบๆ ตัวจะสุนทรีย์ ลดตัวเองสู่ความเป็นเด็กได้ มองโลกในแง่ดี รู้จักให้อภัยตัวเองและผู้อื่นได้

คาถาคลายเครียด "ช่างมัน" มนุษย์หนีความเครียดไม่พ้นหรอก บางคนมีมาก บางคนมีน้อย ความเครียดจึงทำให้ไม่เป็นสุข ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงไป และสิ้นสุดได้ทั้งนั้น เมื่อรู้แล้วก็ปล่อยวาง หรือ "ช่างมัน" เมื่อรู้อย่างนี้แล้วใครอยากจะเครียดนานๆ ก็ตามใจ นอกจากไม่มีความสุขแล้วยังแก่เร็ว ป่วยบ่อยๆ ด้วย

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

7 อาหารพิชิตหวัด


7 อาหารพิชิตหวัด

ช่วงนี้คนใกล้ตัวไอ จาม เป็นหวัดกันระนาว จะหลีกหนีให้ไกลหรือใส่ผ้าปิดจมูกกันตลอดเวลาคงไม่สะดวก จึงขอป้องกันตัวเองง่ายๆ ด้วยการเลือกกิน สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายกันดีกว่า

บรรดาโรคและอาการที่มาเยือนร่างกายเราบ่อยก็เห็นจะเป็นปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ เป็นหวัดนี่ล่ะ เวลาเป็นทีก็รู้สึกอ่อนเปลี้ยเรี่ยวแรงหดหาย สมองไม่ปรู๊ดปร๊าดอย่างเคย อาการเหล่านี้มีโอกาสเกิดได้ง่ายถ้าร่างกายคุณอ่อนแอขณะที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย กินอาหารไม่ถึง และถ้าบวกเข้ากับอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยวันหนึ่งแทบจะ 3 ฤดูอย่างเช่นทุกวันนี้ก็ยิ่งมีโอกาสเป็นหวัดกันได้ง่ายๆ

ดังนั้น เราเลยนำเกร็ดความรู้เรื่องอาหารที่จะช่วยทั้งป้องกันและบำบัดอาการหวัดมาบอกค่ะ

1 ซุปไก่น้ำแกงชั้นยอด

อาหารง่ายๆ ที่เรียกได้ว่าเป็นเพนนิซิลินธรรมชาติ และถือเป็นท็อปลิสต์ในบรรดาอาหารพิชิตหวัดทั้งหมด ในแง่ที่สามารถบำบัดอาการได้ดีที่สุด ซุปไก่ร้อนๆ ช่วยให้ทางเดินหายใจสะดวกขึ้น ให้พลังงาน และถ้าเพิ่มผักเข้าไปด้วยโดยเฉพาะหอมใหญ่ กระเทียม ก็จะยิ่งเพิ่มสรรพคุณในการบำบัดอาการมากยิ่งขึ้นค่ะ

2 อาหารเผ็ดซี้ด

อาหารจัดจ้านแบบนี้ล่ะค่ะช่วยให้จมูกโล่งหายใจสะดวกดีนัก เมนูแนะนำต้องนี่เลย ต้มยำ เพราะมีนานาสมุนไพรที่นอกจากแก้หวัดแล้ว ยังช่วยขับลมและย่อยอาหาร หรือจะเป็นเปปเปอร์มินต์ซุปหรือจริงๆ ก็ต้มจืดใบสาระแหน่นี่ล่ะค่ะ สูตรนี้ไม่ยาก เหมือนแกงจืดตำลึงทุกอย่างค่ะ แค่เปลี่ยนจากใบตำลึงเป็นสาระแหน่เท่านั้น เหมาะกับคนที่มีอาการคัดจมูก หายใจไม่สะดวกมากๆ ค่ะ

3 กระเทียมไร้เทียมทาน

ช่วยขับเสมหะ และมีคุณสมบัติเป็นยาแก้อักเสบ และในกระเทียมมีสารตัวหนึ่งชื่อ alliin เชื่อกันว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำลายอนุมูลอิสระที่จะมาทำร้ายเซลล์ ช่วงนี้คุณอาจเพิ่มปริมาณกระเทียมที่ใส่ในอาหารให้มากขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย และมีข้อควรระวังคือไม่ควรกินกระเทียมขณะที่ท้องว่าง เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะได้

4 น้ำ

เป็นช่วงที่คุณต้องเติมน้ำให้กับร่างกายมากๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่าบริสุทธิ์ น้ำผลไม้สดๆ 100% น้ำอัดลม หรือจะเป็นน้ำจากผักผลไม้สดได้ทั้งนั้น แต่ที่ดีที่สุดก็ต้องน้ำเปล่าค่ะ สำหรับบางคนการได้ดื่มอะไรร้อนๆ จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ก็อาจเลือกเป็นชาสมุนไพร เช่น ชาคาร์โมมายล์ ชาเปปเปอร์มินต์ หรือจะจิบน้ำอุ่นๆ ลอยด้วยมะนาวฝานก็ช่วยได้ดีทีเดียวค่ะ

5 ขุนพลตระกูลส้ม

ช่วงเป็นหวัดร่างกายจะต้องการวิตามินซีมากเป็นพิเศษค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่สูบบุหรี่ซึ่งมีโอกาสเป็นหวัดง่ายกว่าคนไม่สูบ ร่างกายก็จะต้องการวิตามินป้องกันมากเป็นพิเศษ ฉะนั้นพยายามกินส้มหรือผลไม้ตระกูลส้มให้มาก ไม่ว่าจะกินผลสดเป็นของหวานปิดท้ายมื้ออาหาร หรือจะเป็นน้ำส้มคั้นในมื้อเช้าก็แล้วแต่ความชอบความสะดวก แต่ผลไม้ยิ่งสดเท่าไหร่ยิ่งเป็นวิตามินซีคุณภาพกับร่างกายมากเท่านั้น

6 นานาวิตามินซี

ไม่ใช่แค่ผลไม้ตระกูลส้มเท่านั้นที่มีวิตามินซีสูง ผลไม้ชนิดอื่นก็สามารถร่วมด้วยช่วยกันเป็นกองกำลังช่วยร่างกายต่อสู้กับอาการจากหวัดได้ เช่น สับปะรด สตรอว์เบอรี่ ฝรั่ง หรือแม้แต่มันฝรั่ง พริกไทยสดก็มีวิตามินซีสูงเช่นกันค่ะ

7 ขิงแก่แต่สด

ขิงสดๆ ช่วยรักษาอาการไอและไข้ได้ แต่คุณอาจเลือกกินเป็นน้ำเต้าฮวยร้อนๆ น้ำขิงชงสำเร็งรูป หรือจะลองทำชาขิงดื่ม ง่ายๆ แค่รินน้ำร้อน 1 ถ้วยลงบนขิงสดทุบ 2 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ 5-10 นาที

ปวดท้อง อาจเพราะนิ่วในถุงน้ำดี


ปวดท้อง อาจเพราะนิ่วในถุงน้ำดี
นิ่วไม่ได้เกิดที่กระเพาะปัสสาวะเสมอไป ถุงน้ำดีที่อยู่ใกล้ๆ กับตับก็อาจมีนิ่วอุดตัน ยิ่งถ้าคุณเครียดง่ายแถมชอบกินอาหารไขมันสูง ก็ยิ่งเสี่ยงที่จะเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้อย่างไม่รู้ตัว ซึ่งอาการของโรคนี้จะทำให้คุณปวดท้องส่วนโดยเฉพาะแถวใต้ชายโครงขวาอย่างรุนแรง ร่วมกับมีไข้ และถ้าหากนิ่วเข้าไปอุดตันอยู่ตรงท่อทางเดินน้ำดีซึ่งต่อเนื่องกับตับก็จะส่งผลให้เกิดโรคดีซ่าน โดยจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร



ฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มมีอาการปวดท้องในลักษณะดังกล่าวนานเกิน 4 ชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ไม่ควรกินยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการไปเรื่อยๆ เพราะอาจส่งผลให้การรักษายุ่งยากมากขึ้นได้

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

นายกฯ หญิงเยอรมัน คว้าสตรีทรงอิทธิพลที่สุดของโลก 2009



นายกฯ หญิงเยอรมัน คว้าสตรีทรงอิทธิพลที่สุดของโลก 2009

ฟอร์บส์จัดอันดับให้นายกรัฐมนตรีเยอรมันเป็นสตรีทรงอิทธิพลสูงสุดของโลกอีกหนึ่งสมัย (มติชนออนไลน์)

ฟอร์บส์ จัดอันดับ 100 สตรีทรงอิทธิพลของโลก นายกฯ หญิงเยอรมัน คั่วอันดับ 1 ฮิลลารี่ อันดับ 36 สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ ติดอันดับเป็นครั้งแรก ส่วน อดีต รมต.ต่างประเทศอเมริกา "ไรซ์" หลุดอันดับหลังจากพ้นตำแหน่ง

นิตยสารฟอร์บส์ประกาศผลการจัดอันดับ 100 สตรีผู้ทรงอิทธิพลของโลกประจำปี ค.ศ. 2009 (พ.ศ.2552) โดยนายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล แห่งเยอรมนี ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสตรีผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดอันดับหนึ่งเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน

นางแมร์เคิล วัย 55 ปี ได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศเยอรมนีเมื่อปี ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548) และเธอได้รับการคาดการณ์ว่าจะชนะการเลือกตั้งอีกครั้งในวันที่ 27 กันยายนนี้

สำหรับสตรีที่เป็นบุคคลสำคัญระดับโลกรายอื่นๆ ที่ติดอยู่ในการจัดอันดับครั้งนี้ได้แก่ นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ที่ติดอยู่ในอันดับที่ 36 ตกจากอันดับที่ 28 ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เธอกำลังมีสถานะเป็นหนึ่งในตัวเลือกลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของพรรคเดโมแครต


ขณะเดียวกันนางมิเชล โอบามา สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ ก็มีรายชื่ออยู่ในการจัดอันดับดังกล่าวเป็นครั้งแรก โดยเธอติดอยู่ในอันดับที่ 40 เหนือโอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรชื่อดังที่อยู่ในอันดับที่ 41 และสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ ที่อยู่ในอันดับที่ 42

นอกจากนางโอบามาแล้ว นางโซเนีย โซโตมายอร์ ประธานศาลฎีกาเชื้อสายสเปนคนแรกของสหรัฐฯ ก็มีรายชื่ออยู่ในการจัดอันดับ 100 สตรีผู้ทรงอิทธิพลของโลกเป็นครั้งแรกเช่นกัน โดยเธอถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 54

เก็บขยะมาใช้ประโยชน์


เก็บขยะมาใช้ประโยชน์
การจัดเก็บข้าวของภายในบ้านให้เข้าที่เข้าทาง ไม่จำเป็นว่าต้องใช้ภาชนะที่หรูหราราคาแพงเสมอไป ภาชนะสำหรับใส่อาหาร เครื่องดื่ม หรือแม้แต่ของใช้ต่างๆ เมื่อใช้หมดแล้ว อย่าเพิ่งทิ้ง ลองมองดูให้ดีว่ารูป ทรงของภาชนะเหมาะสำหรับบรรจุอะไร ลองมอง ลองคิด และลองนำมาใช้อีกครั้ง ก็จะได้ภาชนะใหม่ๆ โดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย

1.แกนกระดาษชำระ นำมาเรียงไว้ในลิ้นชักเพื่อแบ่งพื้นที่ให้เป็นสัดส่วน สำหรับเก็บถุงเท้า เนกไท หรือชุดชั้นในให้เป็นระเบียบ ไม่ปะปนกัน

2.เส้นพาสต้าที่บรรจุมาในถุงพลาสติก นำมาถ่ายลงในขวดน้ำดื่มพลาสติก พร้อมกับหาฝาปิดขวดในสไตล์ที่คุณชอบ เพื่อความสะดวกในการเทใช้และปลอดภัยจากมด มอด หนู หรือแมลงสาบ

3.ขวดซุปไก่สกัดใบย่อม ใส่เครื่องเทศ เครื่องปรุงที่มากับถุงพลาสติก โดยอาจเลือกฝาเป็นจุกก๊อก ฝาไม้ หรือผ้าหุ้มสไตล์โบราณ เพื่อความสะดวกในการหยิบใช้

4.ถุงกระดาษที่ใส่ของมา นำมาเก็บของระเกะระกะหรือเก็บของเพื่อกันลืม โดยใช้คลิปหนีบแล้วแขวนไว้ในที่ที่เห็นได้ชัดเจน

5.กล่องอาหารพลาสติก หลังจากรับประทานอาหารหมดแล้ว ล้างให้สะอาด นำมาใส่โปสการ์ด ที่เก็บสะสมไว้ได้พอดี และเมื่อเก็บได้หลายกล่อง ก็นำมาวางซ้อนแล้วมัดเชือกรวมกันไว้ได้

6.กล่องคุกกี้ ที่ได้รับมาช่วงเทศกาลปีใหม่ นำมาเก็บอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยได้เหมาะดี

7.กล่องอาหารพลาสติกทรงกลม เป็นอีกรูปทรงที่มีฝาปิดมิดชิด เหมาะสำหรับใส่ของชิ้นเล็กๆ อาทิ เครื่องประดับ หรือแม้แต่ตะปูหรือนอต

Tips

ก่อนนำภาชนะเหล่านี้มาใช้อีกครั้งหนึ่ง จะต้องแน่ใจว่าภาชนะนั้นๆ สะอาดจริงๆ เสียก่อน เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราในภายหลัง

การลอกฉลากของภาชนะ ออกให้เกลี้ยงนั้นอาจนำภาชนะไปแช่น้ำไว้สักครู่ แล้วจึงลอกออก แต่ถ้ายังมีคราบกาวหลงเหลืออยู่ ให้ใช้น้ำมันสนเช็ด ก็จะได้ภาชนะที่เรียบเกลี้ยง ปราศจากฉลากรกตา

จัดระบบเบรกหน้าฝน


จัดระบบเบรกหน้าฝน
ฤดูฝนเป็นฤดูที่ระบบเบรกค่อนข้างมีปัญหาที่สุด เนื่องจากน้ำฝนจะเข้าไปทำความเสียหายให้ระบบเบรกระหว่างขับขี่ ทำให้เกิดปัญหาเบรกลื่นเบรกไม่อยู่ และทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

เปลี่ยนน้ำมันเบรกบ้าง

ควรเปลี่ยนปีละหนึ่งครั้ง เพราะว่าน้ำมันเบรกนั้นสามารถดูดความชื้นในอากาศเข้าไปได้ จึงเป็นเหตุให้จุดเดือดของน้ำมันเบรกลดลงด้วย เวลาขึ้นเขาลงเขาอาจจะเป็นเหตุให้เหยียบเบรกจมหาย หรือที่เรียกว่าเบรกแตกนั่นเอง

เปลี่ยนผ้าเบรกผสมเนื้อโลหะ

ถ้าถึงคิวต้องเปลี่ยนผ้าเบรกแล้ว ให้คุณเลือกแบบผสมเนื้อโลหะด้วย เพราะทนความร้อนได้สูงและมีแรงยึดจับมากกว่าเบรกธรรมดาหลายเท่า แม้จะขับลุยฝนก็ไม่อุ้มน้ำ ซึ่งปลอดภัยในการขับขี่

เทสต์เบรกกินซ้ายขวา

หากคุณขับรถเองเป็นประจำก็น่าจะสังเกตอาการได้ แต่ถ้าคุณไม่แน่ใจให้ลองเลือกถนนที่ไม่ค่อยมีรถ และขับด้วยความเร็วประมาณ 40 กม./ชม. จากนั้น ปล่อยพวงมาลัยและเหยียบเบรกทันที หากมีอาการกินซ้ายหรือกินขวาต้องรีบแก้ไขทันที

ถอดระบบทำความสะอาด

เมื่อใกล้หมดหน้าฝนแล้วควรถอดล้อและระบบช่วงล่างเพื่อนำมาทำความสะอาด เนื่องจากรถเราวิ่งฝ่าหน้าฝนลุยน้ำมากว่า 3 เดือน ทำให้มีโคลนหรือกรวดเข้าไปติดค้างในระบบเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ระบบเบรกมีประสิทธิภาพต่ำลงด้วย

รีดน้ำจากผ้าเบรก

ระหว่างที่คุณขับขี่ตะลุยรถลงน้ำหรือวิ่งฝ่าฝนด้วยคราวจำเป็น เมื่อหมดเขตฝนแล้วให้คุณขับแล้วย้ำเบรกบ่อยๆ เพื่อให้น้ำที่เกาะอยู่ที่ผ้าเบรกได้ถูกรีดออกไป เมื่อเบรกจะได้ไม่ลื่นหรือไถลไปชนกับคันอื่นๆ

ซักยีนส์ให้ดูใหม่..ง่ายนิดเดียว


ซักยีนส์ให้ดูใหม่..ง่ายนิดเดียว


"กางเกงยีนส์" แฟชั่นอมตะที่ใครๆ ก็มี แล้วก็ต้องยอมรับว่าใครๆ ก็ต้องมียีนส์ตัวโปรดที่รักแสนรัก ที่สำคัญจะรักษายีนส์ตัวโปรดให้อยู่กับเราไปนานๆ ได้อย่างไร เทคนิคง่ายๆ ก็อยู่ที่การซักนั่นเอง วันนี้เราจึงเอาวิธีการซักยีนส์ตัวเก่งให้ดูใหม่ และสีสดอยู่เสมอมาฝากกันค่ะ

เริ่มต้นด้วยการกลับด้านในกางเกงยีนส์ออกก่อน แล้วใส่ลงไปในเครื่องซักผ้าหลายคนต้องการให้ยีนส์สีซีดอย่างเป็นธรรมชาติ ให้ซักที่อุณหภูมิ 60 องศาฟาเรนไฮต์ แต่คนไหนที่ต้องการคงความเข้มของสียีนส์ไว้ ให้ซักในอุณหภูมิ 40 องศาฟาเรนไฮต์ หรือไม่ก็ซักด้วยน้ำเย็นก็ได้ค่ะ

ส่วนสาวๆ ที่อยากจะถนอมยีนส์ตัวเก่ง และคงคาแรคเตอร์ ทั้งริ้ว ลายเส้นหรือแม้แต่รอยขาดไว้ ก็ให้ใช้ถุงตาข่ายและเลือกรอบซักแบบนุ่มนวลที่สุดค่ะ

หลังเสร็จสิ้นจากขั้นตอนการซัก ให้กลับเอาด้านนอกออกมา แล้วสะบัดกางเกงให้เข้ารูป นำไปแขวน ตากให้แห้ง ถ้าไม่อยากให้ยีนส์ซีดลงอย่างรวดเร็วต้องไม่นำไปใส่เครื่องอบผ้าโดยเด็ดขาดนะคะสิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมอีกอย่างก็คือหากเป็นยีนส์สีเข้ม ควรแยกซักตัวเดียว เพื่อให้แน่ใจสีไม่ตกไปเปื้อนเสื้อผ้าตัวอื่นค่ะ

ลองนำเทคนิคง่ายๆ นี้ไปใช้กันดูนะคะ รับรองว่าคุณจะมียีนส์ที่ดูใหม่ และสีสดอยู่ตลอดเวลา คงความเป็นยีนส์ตัวเก่งที่แสนจะเป็นอมตะได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สวยใสใน 1 นาที


สวยใสใน 1 นาที

สวยใสใน 1 นาที

จะมีอะไรสวยเร็วไปกว่าครีมหน้าขาวในโฆษณาหนอ...ปิ๊งป่อง!! คำตอบอยู่ที่เคล็ดลับนี้แล้วล่ะจ้ะ สอดส่ายสายตาหามุมเหมาะๆ แล้วมาเลิศ เชิด สวย ภายในไม่กี่นาทีกันเลยเถิด

เริ่มจากยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆ นับ 1 - 30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้น

วิธีนี้จะทำให้เลือดบริเวณศีรษะตลอดจนใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผิวหน้าดูสดใส แจ่มแจ๋ว ชาวแอ๊บแบ๊วชิดซ้ายจริงๆ นะจ๊ะ ขอบอก...

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

5 ข้อผิดพลาดในการบริหารหน้าท้อง


5 ข้อผิดพลาดในการบริหารหน้าท้อง

ถ้าคุณบริหารหน้าท้องอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ไม่ได้ผลอย่างที่ต้องการ สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ คุณอาจกำลังทำมันแบบผิด ๆ ทำให้กล้ามเนื้อไม่พัฒนา หรือที่ร้ายกว่านั้นก็คืออาจเกิดบาดเจ็บได้ ดังนั้น ให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ทำข้อผิดพลาดต่อไปนี้

1.เข่าหย่อน เวลาทำท่าครันซ์ คุณควรงอเข่าและวางเท้าราบกับพื้น โดยต้องให้เข่าตั้งตรงเสมอ อย่าหย่อนเข่าหรือเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ถ้าคุณหย่อนเข่าข้างใดข้างหนึ่งคุณอาจทำให้เกิดแรงกดที่หลังและเกิดอาการบาดเจ็บหลังได้

2.ทำท่าซิตอัพแทนท่าครันซ์ ท่าซิตอัพแบบที่ชอบทำกันให้ประโยชน์แก่กล้ามเนื้อหน้าท้องน้อยมาก แม้กระทั่งเมื่อทำอย่างถูกต้อง แรงกดส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่กล้ามเนื้อสะโพกมากกว่า คนเรายังมักชอบดึงลำตัวขึ้นด้วยแขน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ต้องการในการออกกำลังนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อทำท่านี้แบบเร็ว ๆ อย่างที่หลายคนมักจะชอบทำแบบนั้น มันยังเป็นการใช้แรงเหวี่ยงในการดึงลำตัวให้ขึ้นและลงมากกว่าการใช้กล้ามเนื้อ การทำท่าครันช์จึงเป็นท่าที่ดีกว่าท่าซิตอัพแบบเก่า ๆ

3.ทำท่ายกขาตรง ๆ อีกท่าบริหารหน้าท้องที่นิยมทำกันก็คือ การนอนหงายเหยียดขาตรง และยกขาทั้งสองข้างขึ้นด้านบน ท่านี้ที่จริงแล้วใช้กล้ามเนื้อที่บั้นเอวมากกว่าหน้าท้อง และยังทำให้เกิดแรงกดที่หลังมาก จนอาจเกิดอาการเจ็บได้ง่าย

4.ทำมากครั้งเกินไป ไม่มีความจำเป็นที่จะทำท่าบริหารกล้ามเนื้อท้องมากกว่า 50 ครั้ง ถ้า 50 ครั้งยังไม่ทำให้เห็นผลสำหรับคุณ การทำมากกว่านั้นก็ไม่น่าจะช่วยอะไรได้ ถ้าคุณเริ่มแข็งแรงขึ้นและรู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องท้าทายตัวเองมากขึ้น ลองทำท่าที่ยากขึ้นแทนการเพิ่มจำนวนครั้ง

5.นอนหลับผิดท่า เชื่อหรือไม่ว่า วิธีที่คุณนอนหลับมีผลต่อกิจวัตรการบริหารกล้ามเนื้อท้องคุณด้วย ถ้าคุณหลับในท่าที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง มันจะทำให้การบริหารหน้าท้องในตอนเช้ายากขึ้น การนอนคว่ำเป็นท่าที่ทำให้ปวดหลังได้มากที่สุดเนื่องจากมันทำให้หลังโค้งขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดอาการปวดต่อเนื่องอันน่ารำคาญท่าที่ดีที่สุดก็คือการนอนหงายและใช้หมอนรองใต้เข่า มันจะช่วยให้หลังตรง ป้องกันการปวดหลัง และทำให้คุณออกกำลังได้โดยปราศจากความเจ็บปวดในตอนเช้า

วิธีขับสารพิษด้วยการหายใจ


วิธีขับสารพิษด้วยการหายใจ

ทราบหรือไม่ว่า การหายใจสามารถช่วยขับสารพิษได้ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีขับสารพิษด้วยการหายใจมาฝาก...

วิธีที่ 1 ให้นั่งคุกเข่าเหยียดหลังตรง และหายใจเข้า ท้องป่อง หายใจออก ท้องยุบ ให้ได้ 120 ครั้งใน 1 นาที โดยไม่รู้สึกเหนื่อย หลังจากนั้นสมองจะรู้สึกโล่ง

วิธีที่ 2 นั่งสมาธิ ให้ส้นเท้าทั้ง 2 ข้าง อยู่ในแนวเดียวกัน หงายมือซ้าย ใช้นิ้วโป้ง และนิ้วกลาง มือขวามาปิดจมูก โดยเริ่มจากนิ้วกลางใช้ปิดรูจมูกซ้าย แล้วหายใจออกรูจมูกขวา หายใจให้หมดท้อง ให้รู้สึกว่าท้องแฟบ จากนั้นหายใจเข้า เมื่อหายใจเข้าจนท้องพองแล้วให้ปิดรูจมูกขวาด้วยนิ้วโป้ง แล้วหายใจออกรูจมูกซ้าย จนท้องแฟบ ให้ทำสลับไปมาจะช่วยขับสารพิษในร่างกายได้

อาหารต้านเซลลูไลท์


อาหารต้านเซลลูไลท์
เซลลูไลท์ คือ ผิวหนังที่ขรุขระคล้ายผิวเปลือกส้ม เกิดจากสาเหตุสำคัญคือ เซลล์ไขมันที่สะสมตัวเป็นก้อนอยู่บริเวณใต้ชั้นหนังแท้มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างผิดปกติ จนทำให้ผนังหุ้มเซลล์เกิดการบิดเบี้ยวเพราะถูกดึงรั้งอยู่ใต้ผิวหนัง และเกิดเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำคล้ายผิวของเปลือกส้มที่อาจมองเห็นได้ชัดเจนจากผิวหนังชั้นนอก

รับประทานอาหารกระชับผิว
เน้นรับประทานผัก ผลไม้สดให้มาก ๆ เพราะวิตามินซีและวิตามินอีนั้นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น

เสริมสร้างการไหลเวียนของโลหิต
การรับประทานอาหารที่มีกรดไขมัน รวมทั้งน้ำมันปลา ถั่ว และเมล็ดพืช ก็ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตได้

รับประทานอาหารโปรตีน ไขมันต่ำเป็นประจำ
เซลลูไลท์เป็นเซลล์ที่สะสมของเหลวได้มากกว่าเซลล์ทั่วไป จึงมีทั้งของเหลว ไขมัน และสารพิษอยู่ ทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตกับน้ำเหลืองไม่คล่องตัว ซึ่งสารแอลบูมินที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มโปรตีนไขมันต่ำจำพวกถั่วสามารถช่วยลดระดับของเหลวนี้ได้ และควรจะลดอาหารเค็มควบคู่กันไปด้วย

ลดอาหารมันและหวาน
อาหารทั้งมันและหวานจะเพิ่มอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังหย่อนยานลง เกิดริ้วรอย และยิ่งเป็นอาหารที่มันเยิ้มและหวานเจี๊ยบก็ยิ่งจะไปเพิ่มแคลอรีให้กับร่างกายด้วย ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น


ถ้าไม่อยากให้ผิวมีเซลลูไลท์มากเกินไป ก็ลองหันมารับประทานอาหารที่แนะนำกันดู

สบู่ที่ควรเลี่ยง


สบู่ที่ควรเลี่ยง

สบู่เป็นผู้ช่วยในการทำความสะอาดผิวกายที่นิยมใช้มากที่สุด มีมากมายหลายชนิดให้เลือกใช้จนคุณอาจเลือกไม่ถูก วิธีการง่ายๆ ก็คือ เลือกสบู่แบบเรียบง่ายที่สุด สบู่หรูหราราคาแพงและมีประสิทธิภาพล้นเหลือ ที่จริงแล้วไม่ได้ดีต่อผิวของคุณมากไปกว่าสบู่ธรรมดาๆ ราคาถูก แถมยังอาจทำร้ายผิวคุณได้ สบู่สองชนิดที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้และควรหลีกเลี่ยงก็คือ

• สบู่ระงับกลิ่นกาย สบู่ชนิดนี้มักมีส่วนผสมของสารเคมีซึ่งสามารถทำให้ผิวแห้งได้ และสบู่ปกติก็สามารถขจัดกลิ่นกายได้อยู่แล้ว

• สบู่ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ผู้ที่ควรใช้สบู่ชนิดนี้ก็คือ แพทย์ ครูในโรงเรียนอนุบาลและคนที่เป็นสิวที่หลังอย่างรุนแรง ซึ่งสบู่ปกติก็ช่วยให้คุณสะอาด และปลอดจากแบคทีเรียได้เช่นกัน

นมเปรี้ยวช่วยไม่ได้ ตรวจแอลกอฮอล์ยังไงก็เจอ


นมเปรี้ยวช่วยไม่ได้ ตรวจแอลกอฮอล์ยังไงก็เจอ

หากดื่มนมเปรี้ยวภายหลังจากดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถตรวจหาค่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดได้ และ นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ได้ออกมาให้ข้อมูลผลการทดลอง โดยกลั้วสุราที่ปาก แล้วดื่มนมเปรี้ยวตาม ซึ่งส่งผลให้ปริมาณแอลกอฮอล์ลดลงจริง แต่ยืนยันว่าความเมายังคงอยู่ ซึ่งเท่ากับว่าโอกาสเสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุยังมีสูง ทำให้เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาเพราะจะเป็นช่องทางหลบเลี่ยงการถูกจับกุมข้อหาเมาแล้วขับนั้น

พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ดูแลงานจราจร เปิดเผยว่า เรื่องนี้ยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิชาการ เพราะการพิสูจน์โดยนำสุรามากลั้วปากแล้ววัดค่าแอลกอฮอล์นั้นไม่ใช่การดื่มสุรา การดื่มสุราที่มีองค์ประกอบทั้งเรื่องเวลาและปริมาณนั้นแอลกอฮอล์จะซึมเข้าไปในกระแสเลือด ซึ่งในการตรวจวัดตามวิธีการของเจ้าหน้าที่ จะต้องเป่าโดยสูดลมหายใจลึกๆ แล้วเป่ายาวๆ จะทำให้แอลกอฮอล์ที่อยู่ภายใน ออกมาทางลมหายใจและได้ค่าที่แท้จริง และการใช้วิธีการตรวจวัดจากลมหายใจด้วยเครื่องมือที่ใช้อยู่เป็นวิธีการมาตรฐานสากล ที่มีการพิสูจน์มาแล้วทั่วโลก แม้ว่าจะมีการดื่มเครื่องดื่มประเภทอื่นตามหลังจากดื่มสุรา ก็ไม่สามารถหลอกเครื่องได้

พล.ต.ต.ภาณุ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นข้อคำถามในสังคม ทางเจ้าหน้าที่ก็พร้อมพิสูจน์ ซึ่งการทดสอบจะต้องเป็นผู้ที่ดื่มสุราในภาวะจริง และตรวจวัดกันที่ด่านฯ จริงๆ สำหรับกรณีการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดนั้นคงไม่สามารถทำได้เพราะไม่มีกฎหมายรองรับและวิธีการก็ยุ่งยาก การใช้เครื่องมือและการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ปัจจุบันเชื่อว่าจะทำให้ลดพฤติกรรมการขับรถขณะเมาสุราเป็นวิธีการที่เหมาะสมแล้ว

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

รูปภาพ ขนมปัง น่ากิน ขนมปัง แฟนซี แต่งหน้าให้น่าอร่อย



รูปภาพ ขนมปัง น่ากิน ขนมปัง แฟนซี แต่งหน้าให้น่าอร่อย

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บอกลานิสัย...ทำสุขภาพเสีย



บอกลานิสัย...ทำสุขภาพเสีย


ล้าสมัยไปแล้วกับวิถีชีวิตสาวสังคมที่ถอดแบบมาจากซีรี่ส์เรื่องดัง Sex and the City ไม่ว่าจะเป็นการ มองหากาแฟทันทีเมื่อลุกขึ้นจากเตียง การบริโภคอาหารจานด่วนเพียงเพราะเอาสะดวกเข้าว่า การยกบุหรี่ขึ้นสูบทุกครั้งที่เครียด หรือแม้แต่การออกตระเวนราตรีทั้งคืน โถ! โถ! โถ! ซีรี่ส์เขาจบไปตั้งนานแล้ว อย่ามัวแต่ ทำตามเลยค่ะ มันเอาท์ไปแล้ว แถมแต่ละอย่างที่สาวๆ ทำกันล้วนแต่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพทั้งนั้น

ดื่มกาแฟแทนน้ำ

เคยเห็นใช่ไหมคะอาการที่ว่านี้ ตื่นเช้าขึ้นมาแทนที่จะลุกขึ้นมาล้างหน้าเรียกความ สดชื่น กลับเดินตรงไปต้มน้ำชงกาแฟ เสียนี่ แท้จริงแล้วกาแฟจัดเป็นสารเสพย์ติดชนิดหนึ่ง (คาเฟอีน) ถึงแม้ จะเป็นสารเสพย์ติดชนิดอ่อนก็ตาม ทว่าหากบริโภคในปริมาณมากก็สามารถเสพย์ติดได้

สูบบุหรี่ทุกครั้งที่ (คิดว่า) เครียด

ต้องขอบอกว่าเป็นความคิดและค่านิยมที่ผิดอย่างมหันต์ เพราะ นอกจากที่รู้กันอยู่แล้วว่า สารนิโคตินในบุหรี่เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคมะเร็งปอด มะเร็งมดลูก การแก่ก่อนวัย และ อีกหลายต่อหลายโรค ทั้งบุหรี่ยังทำให้บุคลิกและภาพลักษณ์ดูไม่ดีอีกด้วย

ดื่มน้ำน้อย

เป็นอุปนิสัยที่เป็นปัญหาระดับชาติ เหตุผลสนับสนุนที่ ยอดฮิตที่สุดก็คืองานยุ่ง ไม่มีเวลา แต่รู้ไหมว่าการที่เราทำงานในห้องที่ติดเครื่องปรับอากาศ ผิวและดวงตาก็สูญเสียความชุ่มชื่นพอแล้ว ยิ่งดื่มน้ำน้อยก็จะยิ่งทำให้ผิวแห้งเข้าไปอีก

งดอาหารเช้า

1 วันมี 3 มื้อ ซึ่งมื้อที่ไม่ควรงดเป็นอย่างยิ่งคือ มื้อเช้า ลองคิดดูว่าภายใน 1 วัน เราต้อง ใช้พลังงานกี่ชั่วโมงกว่าจะเข้านอน โดยเฉพาะสาวๆ ที่กำลังควบคุมอาหารด้วยแล้ว หากงดอาหารเช้าจะทำ ให้บริโภคอาหารเย็นมากขึ้น ซึ่งช่วงเย็นนั้นร่างกายไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานมากเท่าไร จึงทำให้เกิดไขมัน ส่วนเกินขึ้น

แฮงเอาท์

เป็นเสมือนวันนัดหมายของเหล่าคนทำงาน ที่จะออกมาปลดปล่อยความตึงเครียดที่สะสมมา ทั้งสัปดาห์ จะดริงค์หรือแดนซ์ก็ตามสะดวกโยธิน แต่รู้ไหมว่าการที่ร่างกายเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานมาแล้ว ทั้งวัน ก็ควรจะได้พักผ่อนมากกว่าจะต้องถูกใช้งานต่อจนมืดค่ำ (บางครั้งก็ยันเช้า)

แอลกอฮอล์ใครว่าเก๋

หยุด! ค่านิยมที่คิดว่าการดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์จึงจะทำให้เข้าสังคมได้ไปเลย เพราะแอลกอฮอล์นั้นจะ เข้าไปทำลายสมองและเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายอย่างช้าๆ จนทำให้เกิดอาการปวด ศีรษะในตอนเช้าอย่างรุนแรง หรือที่เราเรียกกันว่าอาการแฮงค์นั่นเอง


เข้านอนเช้าอนามัยเกิน

ไม่มีคำว่าเกินไป สำหรับการพักผ่อนหลังจากที่ร่างกายทำงานมาแล้วทั้งวัน ซึ่งเวลาที่เหมาะแก่การพักผ่อนที่สุด คือช่วงก่อน 4 ทุ่ม เพราะร่างกายจะทำการผลัดเซลล์ในช่วงเวลานี้

ห่างเหินการออกกำลังกาย

ปัจจุบันอัตราของคนที่ออกกำลังกายมีน้อยจนแทบนับได้ แค่เดินขึ้นลง บันได 2 - 3 ชั้น ยังอาศัยลิฟท์กันเลย รู้ไหมว่าการเคลื่อนไหวร่างกายหรือการออกกำลังนั้น ร่างกายจะหลั่งสาร เอนดอร์ฟินทำให้รู้สึกสดชื่นมีความสุข ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคมากขึ้น

เทคนิคเก็บตกผิวเสีย หลังไดเอ็ท


เทคนิคเก็บตกผิวเสีย หลังไดเอ็ท
เทคนิคเก็บตกผิวเสีย หลังไดเอ็ท (Health & Cuisine)

ผิวหนังแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ ซึ่งมีเส้นใยอีลาสติน คอลลาเจน ที่ช่วยเพิ่มความยืดหนุ่นและความกระชับให้แก่ผิว และชั้นสุดท้ายคือชั้นใต้ผิวหนังซึ่งมีไขมันเป็นส่วนประกอบอยู่ เมื่อมีน้ำหนักตัวมากขึ้น เซลล์ไขมันในชั้นใต้ผิวหนังจะยืดขยาย ทำให้เส้นใยอีลาสตินในชั้นหนังแท้ต้องขยายตาม และหากอ้วนนานเส้นใยอีลาสตินก็จะยืดตัวถาวร ส่วนคอลลาเจนจะเรียงตัวผิดปกติจากเดิมทำให้เกิดรอยแตกลาย ด้วยเหตุนี้หากคุณลดน้ำหนักมากๆ ในระยะเวลาอันสั้น คือ เกินกว่า 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ อาจทำให้เกิดผิวหย่อนคล้อย เพราะผิวที่เคยยืดขยายหดตัวอย่างรวดเร็ว

หลังลดน้ำหนักผิวของคุณจะหย่อนคล้อยมากน้อยเพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวที่ลดลงและอายุด้วย ในกรณีที่คุณยังอายุน้อยและลดน้ำหนักตัวมาก ผิวของคุณอาจหย่อนคล้อย แต่จะน้อยกว่าและฟื้นฟูสภาพผิวได้เร็วกว่าคนที่อายุมาก เพราะอายุที่มากขึ้นเป็นตัวแปรของปริมาณเส้นใยอีลาสตินและคอลลาเจนของผิวหนังที่น้อยลงเรื่อยๆ

ผอมแบบไม่ทำร้ายผิว

ปัจจุบันมีวิธีการลดความอ้วนที่นิยมทำและส่งผลเสียต่อผิว เช่น กินยาลดความอ้วน การอดอาหาร และการตบสลายไขมัน การอดอาหารทำให้ระบบร่างกายเสียสมดุล เพราะไปลดปริมาณน้ำตาลในเลือดลง ส่วนการตบสลายไขมันที่ใช้ครีมและความร้อนจะมีผลต่อปริมาณน้ำในผิว ทำให้ผิวแห้ง เหี่ยว และในความเป็นจริงไขมันอยู่ลึกมาก การตบสลายไขมันนั้นนอกจากจะไม่สามารถกำจัดไขมันได้แล้ว ยังส่งผลให้ผิวชั้นหนังแท้และหนังกำพร้าช้ำอีกด้วย

การลดความอ้วนที่ไม่ส่งผลเสียต่อผิวนั้น น้ำหนักตัวจะต้องลดลงไม่เกิน 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ และลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี คือ ลดน้ำหนักโดยการเผาผลาญไขมันในชั้นผิวหนัง ไม่ใช่การลดน้ำหรืออาหารซึ่งอย่างหลังจะกระทบต่อปริมาณน้ำตาลภายในเลือดด้วย

วิธีการลดน้ำหนักที่ดีที่สุด คือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ งดแป้ง ไขมัน และออกกำลังกายร่วมด้วย โดยเฉพาะแอโรบิก วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เพราะการออกกำลังกายเหล่านี้ช่วยให้เผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังทั่วร่างกาย ส่วนการออกกำลังกายเฉพาะส่วนนั้นจะไปช่วยเผาผลาญไขมันในกล้ามเนื้อ

วิธีแก้ "หย่อน ยาน ย้วย"

การฟื้นฟูผิวให้กลับกระชับดังเดิมจะได้ผลแค่ไหนขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่คุณปล่อยให้ผิวเสียด้วย ตัวอย่างเช่น ผิวเปลือกส้มหรือเซลลูไลท์ที่เกิดจากการหดตัวอย่างรวดเร็วของผิวหนัง หากทิ้งไว้นานเกินไปก็อาจหมดสิทธิ์รักษา ถ้าเป็นระยะเริ่มต้น แก้ได้ง่ายๆ ด้วยการออกกำลังกายประเภทแอโรบิก เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนัง และเลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี อี โคเอนไซม์คิวเทน และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรง ดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้นมีความยืดหยุ่นดีขึ้น ช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดดี และลดปัญหาเซลลูไลท์ได้

หากผิวยากจะฟื้นฟูและทำแล้วไม่เห็นผลอาจต้องใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่รักษาได้ลึกถึงชั้นไขมัน โดยใช้ความร้อนไปจัดการก้อนไขมันให้แตกตัว เช่น ทำเลเซอร์ การใช้คลื่นความถี่วิทยุแบบขั้วเดียว ส่วนการทำคาร์บ็อกซี่จะช่วยในเรื่องเซลลูไลต์ โดยคาร์บอนไดออกไซด์ที่เข้าไปใต้ผิวหนังจะจับตัวกับน้ำเกิดเป็นกรดคาร์บอนิกที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ลดเซลลูไลต์ แต่ต้องทำหลายครั้งจึงจะเห็นผล

นอกจากการกินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบำรุงผิวแล้ว อาจจะหยิบจับผลไม้ใกล้มือ อย่าง ส้มเขียวหวานและองุ่น มาเพิ่มความกระชับให้ผิว ติดตามอ่านสูตรกระชับผิวด้วยผลไม้

แก้ปัญหา รักแร้ดำ


แก้ปัญหา รักแร้ดำ

แก้ปัญหา รักแร้ดำ


หลีกเลี่ยงการเช็ดถูแรงๆ บริเวณผิวใต้วงแขนที่บอบบาง หยุดใช้สารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ทันที เช่น หากแพ้น้ำหอม ควรเปลี่ยนไปใช้โรลออนชนิดที่ไม่มีสารสร้างกลิ่นหอมที่ระบุว่า Fragrance-Free โดยสังเกตส่วนประกอบสำคัญบนฉลาก หากมีชื่อสารที่แพ้ ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาระงับกลิ่นแบบอื่นแทน



ถ้าดำมากหรืออาการไม่ดีขึ้นให้ปรึกษาแพทย์ทันที เช่น ในกรณีที่รักแร้ดำและนูนเหมือนกำมะหยี่ ซึ่งมักพบในคนเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Erythrasma เป็นต้น



มาลองใช้สูตรสมุนไพรธรรมชาติ เพื่อช่วยให้ใต้วงแขนขาวเนียน ดังนี้ค่ะ



มะขาม พืชพื้นบ้านที่เรารู้จักกันดี โดยนำมะขามเปียกผสมกับน้ำผึ้งนิดหน่อยมาทาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออก นอกจากทำให้ผิวขาวใสแล้ว ยังช่วยให้ผิวเนียนนุ่มได้อีกด้วย



มะนาว ที่เหลือจากก้นครัว ใช้มะนาวเอามาถูรักแร้ทิ้งไว้ 2-3 นาที จึงล้างน้ำออก ส่วนที่เหลือของมะนาวยังใช้ถูตามข้อพับ หัวเข่า ข้อศอกที่ดำๆ ได้อีกด้วย



เกลือสปา ใช้เกลือขัดผิวถูเบาๆ เน้นว่าเบาๆ นะคะ ไม่เช่นนั้นเกลืออาจจะบาดรักแร้เอาได้

สอน ซูชิ เรียน ซูชิ ง่ายๆ ด้วยตัวเองกันเถอะ


สอน ซูชิ เรียน ซูชิ ง่ายๆ ด้วยตัวเองกันเถอะ



ช่วงนี้เทรนด์อาหารสุขภาพมาแรงเสียเหลือเกิน และถ้าพูดถึงอาหารสุขภาพแล้ว "ซูชิ" หรือข้าวปั้น ที่อิมพอร์ตมาจากแดนอาทิตย์อุทัย ก็คงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่สาวๆ ชอบรับประทานเช่นกัน แต่เอ...ไปทานครั้งหนึ่ง ก็เสียเงินแพงเสียเหลือเกิน นี่ถ้าหัดทำเองได้ คงจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกหลาย ว่าแล้ววันนี้เราจะมา สอน ซูชิ แบบง่ายๆ เอ้า! เตรียมตัวมา เรียน ซูชิ กันเลยดีกว่า

สิ่งที่สำคัญในการทำ ซูชิ คือ ข้าวซูชิ นั่นเองค่ะ เรามาเริ่ม เรียน ซูชิ ทำ ข้าวซูชิ กันก่อนเลย

เครื่องปรุง

ข้าวสารญี่ปุ่น 200 กรัม (1 ถ้วย)

น้ำเปล่า 300 มล.

น้ำส้มสายชูข้าวญี่ปุ่น 120 มล.

น้ำตาล 1/2 ช้อนโต๊ะ

เกลือ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

1.ซาวข้าวสาร แล้วแช่น้ำเปล่าค้างไว้ประมาณ 15 นาที เทน้ำออก จากนั้นพักให้ข่าวสะเด็ดน้ำอีก 15 นาที

2.นำข้าวสารใส่หม้อ เติมน้ำเปล่าลงไป ปิดฝา ใช้ไฟปานกลางต้มตามปกติ

3.ลดความร้อนลงที่ระดับไฟอ่อนมาก ต้มต่อไปอีก 15 นาที ดับไฟและพักไว้ ปิดฝาให้แน่นอีกประมาณ 15 นาที

4.ระหว่างนั้น ให้ผสมน้ำส้มสายชูไว้ค่ะ โดยคนน้ำส้มสายชู น้ำตาล และเกลือเข้าด้วยกันด้วยไฟอ่อนๆ จนกระทั่งน้ำตาลละลาย

5.น้ำข้าวที่สุกตักไว้ในอ่างไม้ ราดด้วยน้ำส้มสายชูที่ผสมแล้ว ตรงนี้อาจไม่ต้องใช้น้ำส้มสายชูจน
หมด ให้ชิมไปปรุงไปค่ะ และใช้ไม้พายคนข้าว พลิกไปพลิกมาให้ส่วนผสมเข้ากัน อย่าใช้แรงมาก
ไป และขั้นตอนนี้สามารถทำตรงหน้าพัดลม หรือให้คนช่วยพัดขณะคนก็ได้ค่ะ เพื่อช่วยให้ข้าวเย็นเร็วขึ้น จากนั้นก็หยุดคนได้

ข้อควรระวัง การผสมข้าวซูชิ ต้องใช้ข้าวร้อนๆ ผสมกับน้ำส้มซูชิเย็นๆ เท่านั้นค่ะ เพื่อไม่ให้ข้าวแฉะเกินไปค่ะ

ทีนี้เมื่อได้ ข้าวซูชิ แล้ว จะทำ ซูชิ หน้าอะไรประเภทไหนก็ย่อมได้ค่ะ วันนี้เราจะมาแนะนำ "คานิ ซูชิ" ข้าวปั้นหน้าปูอัด และ "มากิ ซูชิ" ข้าวม้วนสาหร่าย มาดูเครื่องปรุงของ "คานิ ซูชิ" กันก่อนค่ะ

เครื่องปรุง

ปูอัด 7 ชิ้น

วาซาบิ 2 ช้อนโต๊ะ

ซีอิ๊วถั่วเหลืองญี่ปุ่น 3 ช้อนโต๊ะ

ขิงดอง 2 ช้อนโต๊ะ

ข้าวซูชิ 1 ถ้วยตวง

สาหร่ายทะเลญี่ปุ่น 1 แผ่นใหญ่

วิธีทำ

1.ปั้นข้าวซูชิให้เป็นก้อนยาวรี

2.หั่นปูอัดเป็นชิ้นพอดีคำแล้ว แล้วนำมาป้ายวาซาบิเล็กน้อย

3.นำปูอัดมาปั้นประกบกับข้าวซูชิ

4.ตัดสาหร่ายทะเลให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำมาพันข้าวปูอัดให้รอบ ตกแต่งจานให้สวยงามพร้อมเสิร์ฟ เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว

มากิ ซูชิ Maki Sushi

เป็น ซูชิ ที่มีข้าวและไส้ต่างๆ อยู่ในสาหร่ายทะเลค่ะ ซึ่งแน่นอนว่า อุปกรณ์สำคัญคือ แผ่นไม้ไผ่สำหรับทำ ซูชิ นั่นเอง เตรียมเรียบร้อยแล้วก็ไปเตรียมเครื่องปรุงกันค่ะ

เครื่องปรุง

ข้าวซูชิ

สาหร่ายทะเลแผ่นใหญ่

แตงกวา หรือส่วนผสมอื่นๆ ที่ต้องการนำมาทำเป็นไส้

วิธีทำ

1.วางสาหร่ายแผ่นใหญ่ลงบนแผ่นไม้ไผ่

2.วางข้าวซูชิแผ่ลงบนสาหร่าย ค่อยๆ ไล่ให้กระจายออกจากซ้ายไปขวา ให้เหลือพื้นที่ส่วนบนและ
ล่างของสาหร่าย ประมาณ 1 นิ้ว

3.วางส่วนผสม เช่น แตงกวา ไข่ เพื่อจะทำเป็นไส้ ลงบนข้าว หรือจะใส่วาซาบิลงไปด้วยก็ไม่ว่ากัน

4.ค่อยๆ ยกมากิซูชิ และม้วนไปตามแผ่นไม้ไผ่ โดยใช้นิ้วชี้จับแผ่นไม้ไผ่ให้แน่น เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวหก

5.บิดไม้ไผ่อีกครั้ง ก่อนจะเอาออกจากซูชิ

6.ตัดซูชิ ให้ได้ขนาดพอดีคำค่ะ และควรเช็ดมีดด้วยผ้าเปียกก่อน เพื่อจะได้ตัดได้ง่ายขึ้น

10 ปัจจัยช่วยคนไทยพ้น โง่ จน เจ็บ


10 ปัจจัยช่วยคนไทยพ้น โง่ จน เจ็บ


นักวิชาการจากจุฬาฯ พบ 10 ปัจจัย ที่ช่วยให้หลุดพ้นจากความยากจน และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข พร้อมกับให้ความสำคัญกับโรงเรียนในการสร้างเด็กให้เป็นคนดี

รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง "สุขภาวะของครอบครัวผู้มีรายได้น้อย" โดยสำรวจเชิงคุณภาพ 50 ครอบครัวที่มีรายได้น้อย โดยมีเงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาทต่อเดือน ในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พบปัจจัย 10 ประการที่ทำให้ครอบครัวยากจนสามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้และอยู่อย่างมีความสุข คือ

1. ไม่ยอมรับความคิดเดิมๆ ที่สังคมยัดเยียดให้ เช่น ความคิดที่ว่าเป็นคนจนการศึกษาต่ำ อาชีพไม่แน่นอน เจ็บ ป่วยบ่อย หรือ "โง่ จน เจ็บ"

2. มีคำสอนของพ่อแม่เป็นแนวทาง เช่น อดทน ขยัน ตั้งใจเรียน และเป็นคนดี

3. ขยันทำมาหากิน

4. มีการบริหารจัดการด้านเวลาดี โดยใช้เวลาอยู่กับลูกอย่างคุ้มค่า และอบรมสั่งสอนลูกให้เป็นคนดีมีคุณธรรม

5. มีการสื่อสารเชิงบวก เช่น ทำความเข้าใจกับลูกเกี่ยวกับฐานะทางการเงิน ร่วมกันวางแผนใช้จ่ายเงินในครอบครัว มีการปลอบใจและแก้ไขปัญหาร่วมกัน

6. มีกลวิธีในการสร้างความคิดดีและตอกย้ำการคิดดีทำดีให้กับลูก เช่น การให้ลูกช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน

7. ปลูกฝังให้ลูกๆ เป็นคนดี ไม่โกหกตั้งแต่เล็ก หรือไม่เกินประถมศึกษา ไม่รอจนถึงมัธยม ซึ่งจะปลูกฝังได้ยากกว่า

8. พ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก เช่น เป็นคนดีมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น

9. ครอบครัวยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงโดยปฏิบัติจริง เช่น ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นหวย มีการทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างละเอียดจนถึงเศษสตางค์ ปลูกผัก เลี้ยงปลา เพื่อลดรายจ่ายด้านอาหาร

10. เก็บเงินไว้เพื่อการศึกษาของบุตรหลานให้ได้เรียนสูงที่สุด ซึ่งพบว่าเมื่อลูกเรียนจบระดับสูงก็จะดึงพ่อแม่ให้หลุดพ้นจากความยากจนได้ด้วย

"โรงเรียนก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะสร้างเด็กให้เป็นคนดี เช่น ยกย่องเด็กที่ทำความดี เรียนดี หรือการที่ครูตบบ่าให้กำลังใจเมื่อเด็กทำสิ่งที่ถูกต้อง จะทำให้เด็กมีกำลังใจที่จะทำความดี ขยัน ตั้งใจเรียน และไม่หลุดจากระบบการศึกษา" รศ.ดร. สมพงษ์กล่าวว่า จากการสำรวจพบครอบครัวยากจน 10% ที่ยึดหลักการดังกล่าว สามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับครอบครัวอื่นๆ หากทำได้ก็จะหลุดพ้นจากความโง่ จน เจ็บ ได้.

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรื่องเล่า เกี่ยวกับยาลดน้ำหนัก


เรื่องเล่า เกี่ยวกับยาลดน้ำหนัก
เรื่องเล่า เกี่ยวกับยาลดน้ำหนัก

วันนี้มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับยาลดน้ำหนักประเภทต่างๆ มาบอกต่อกันค่ะ

1.ยาทำให้ไม่อยากอาหาร ยากลุ่มนี้เมื่อรับประทานแล้วจะมีผลทำให้รู้สึกเบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็วขึ้น ดังนั้นเมื่อร่างกายรับอาหารน้อยลง และหากพลังงานที่ได้รับจากอาหารนี้น้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายต้องการ ร่างกายจะต้องหันมาใช้ไขมันสะสมเป็นพลังงานแทน ก็เป็นผลให้น้ำหนักตัวลดลงได้ ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส บริเวณที่เป็นศูนย์ควบคุมการกินอาหารและบางชนิดยังมีฤทธิ์เพิ่มกลูโคสในกล้ามเนื้อ ผลนี้จะเปรียบเสมือนกับการออกกำลังกายเบาๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานมากขึ้น และยาบางชนิดยังออกฤทธิ์สลายไขมันและกรดไขมันอีกด้วย

2.ยาขับน้ำหรือยาขับปัสสาวะ ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ขับน้ำออกจากร่างกาย ทำให้ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมากขึ้น จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว นิยมใช้ในพวกนักมวยที่ต้องการรีดน้ำหนักให้เท่ากับพิกัดในระยะเวลาสั้นๆ โดยมากแพทย์จะใช้ยานี้ในการักษาโรคความดันโลหิตสูง ภาวะบวมน้ำ เป็นต้น ยาเหล่านี้หากใช้ในระยะเวลา อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง กระหายน้ำ คอแห้ง ปากแห้ง เนื่องจากร่างกายสูญเสียเกลือแร่และน้ำไปทางปัสสาวะ แต่ยากลุ่มนี้บางชนิดเป็นยาขับปัสสาวะที่สามารถสงวนเกลือแร่บางอย่าง โดยเฉพาะโปแตสเซียมได้ จึงทำให้อาการต่างๆ ที่เกิดจาการขาดเกลือแร่ลดลง

3.ยาฮอร์โมน โดยมากมักจะเป็น "ธัยรอยด์ฮอร์โมน" ซึ่งออกฤทธิ์ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น เมื่อพลังงานสะสมถูกใช้ไปมากขึ้น น้ำหนักก็ลดลง แต่หากใช้ยาในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการใจสั่น เหงื่อออกมาก หรือมีอาการคล้ายกับคนที่เป็นโรคต่อมธัยรอยด์เป็นพิษได้

4.ยาระบายหรือยาถ่าย ยากลุ่มนี้มีหลายชนิด บางชนิดออกฤทธิ์กระตุ้นลำไส้ให้บีบตัว บางชนิดก็ทำให้อุจจาระอ่อนตัว หรือเพิ่มปริมาณอุจจาระ ทำให้ถ่ายมากหรือบ่อยขึ้น ยาในกลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นน้ำและเป็นเม็ด หลังจากรับประทานแล้วจะรู้สึกอยากถ่าย และอุจจาระจะค่อนข้างเหลว เหมาะสำหรับคนที่ท้องผูก ถ่ายยาก

5.ยาลดกรด ยาลดกรดทำให้กระเพาะอาหารบีบตัวน้อยลง จึงทำให้ไม่รู้สึกหิว แต่เป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้น ยาลดกรดจะมีสารประกอบที่เป็นอะลูมินัม (Aluminum) ซึ่งแพทย์มักจะใช้ยานี้เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และบรรเทาอาการปวดท้อง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรับประทานยานานๆเช่น ท้องผูกหรือขาดสารอาหารบางอย่าง เนื่องจากยาลดกรดไปรบกวนการดูดซึมของสารอาหาร โดยเฉพาะ Fluoride และ Phosphate เป็นต้น

6.ยาหรือสารเคมีที่ผลิตจากใบพืช มักจะอยู่ในรูปอาหารสำเร็จรูป ซึ่งปรุงแต่งให้มีพลังงานต่ำ สารประกอบทั่วๆ ไปคือ เส้นใยอาหาร สารอาหารอื่นๆ คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน รวมทั้งเกลือแร่และวิตามินต่างๆ เพื่อนำไปรับประทานอาหารปกติ เพื่อลดปริมาณพลังงานที่ได้จากอาหารได้น้อยลง เนื่องจากเมื่อรับประทานอาหารเข้าไปแล้วเส้นใยอาหารจะพองตัว ทำให้เพิ่มปริมาณของอาหารในกระเพาะ จึงทำให้รู้สึกไม่หิว และหากรับประทานอาหารอื่นได้น้อยลง และอิ่มเร็วขึ้น


ปัจจุบันมีการปรุงแต่งอาหารเหล่านี้ทำให้น่ารับประทานมากขึ้น มีทั้งที่เป็นอาหารของสำหรับชงดื่ม คุกกี้ ขนมเค้ก เวเฟอร์ เม็ดหรือแคปซูล ฯลฯ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีปริมาตรแคลอรี่แตกต่างกัน มักจะระบุไว้ที่ฉลาก ดังนั้นหากต้องการลดความอ้วน และเลือกรับประทานอาหารเหล่านั้นแทน ก็ควรพิจารณาเกี่ยวกับสารอาหารที่ไม่ครบถ้วนที่จะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย เส้นใยอาหารยังช่วยขัดขวางการดูดซึมของไขมันด้วย ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก และนอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มกากอาหาร ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติด้วย

7.สารสกัดจากส้มแขก ปัจจุบันได้มีการสกัดสารชนิดหนึ่งจากผลส้มแขกหรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Garcinia Cambogia ซึ่งเชื่อว่ามีผลในการลดไขมันได้ ปัจจุบันจึงเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนอ้วนที่ต้องการลดน้ำหนักสารสกัดที่สำคัญที่ว่า คือ ไฮดรอกซีซิตริแอซิด (Hydroxycitic Acid) หรือที่เรียกย่อๆ ว่า HCA ซึ่ง อย. รับรองความปลอดภัยแล้วในลักษณะของ "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" แต่ไม่ได้รับรองสรรรพคุณในแง่ลดความอ้วน

ที่มาที่ไปของสารที่เรียกว่า HCA ที่ว่านี้คือเมื่อประมาณ 25 ปีมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ Brandeis ได้ค้นพบ HCA ในส้มแขกสามารถยับยั้งการทำงานเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์กรดไขมันและโคเลสเตอรอลได้ เมื่อประกาศการค้นพบนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ หลายคนก็เริ่มสนใจ HCA ในแง่การลดไขมันและโคเลสเตอรอล จากจุดนี้เองที่ทำให้มีการศึกษาอย่างจริงจัง และพบว่า HCA ไม่ใช่กรดผลไม้ทั่วไปแต่มีคุณสมบัติที่ช่วยยับยั้งไม่ให้ร่างกายของคนเราเปลี่ยนแป้งจากอาหารไปเป็นไขมันได้

ในภาวะปกติเมื่อรับประทานอาหารจำพวกอาหารคาร์โบไฮเดรตเข้าไปก็จะถูกย่อยสลายกลายเป็นกลูโคส ซึ่งหากร่างกายได้รับอาหารมากเกินไปกลูโคสที่เหลือก็จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมัน โดยอาศัยเอ็นไซม์ที่ชื่อ ATP-Citrate Lyase ไขมันที่เกิดขึ้นก็จะถูกเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งหากรับประทาน HCA เข้าไป ก็จะมีผลไปยับยั้งเอ็นไซม์ที่ว่านี้ ดังนั้นแทนที่กลูโคสจะเปลี่ยนเป็นไขมันก็กลับเปลี่ยนไปเป็นไกลโคเจนแทน สะสมไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อ จึงช่วยลดไขมันในเลือดและโคเลสเตอรอลได้ แต่ในแง่การลดความอ้วนแล้ว จะพบว่า HCA มีผลในการลดน้ำหนักตัวน้อย หรือไม่เห็นผลเลย สาเหตุที่ไม่ได้ผลอาจจะเป็นเพราะ HCA ยับยั้งเฉพาะอาหารประเภทแป้งได้เท่านั้น ดังนั้นหากรับประทานไขมันเข้าไป HCA ก็ไม่มีผลอะไรเลย

8.แอบซอร์บิทอล (Absorbital) ปัจจุบันมีการค้นพบเส้นใยอาหารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ไคโตซาน (Chitosan) ที่ได้จากส่วนนอกหรือเปลือกของสัตว์เช่น เปลือกกุ้ง หรือปู ซึ่งเมื่อนำมาย่อยสลายแล้วจะได้โคโตซาน ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับไขมันได้ดี ซึ่งในปัจจุบันได้พัฒนาอนุพันธ์ของโคโตซานเพื่อให้สามารถจับกับไขมันได้ดีในทางเดินอาหารของมนุษย์ มีชื่อเรียกว่า "แอบซอร์บิทอล" หรือ L112 ไบโอโพลิเมอร์ (Enhance Chitosan Derivative) แอบซอร์บิทอล จะมีลักษณะเป็นเส้นใยเล็กๆ ที่มีพื้นผิวสูงสามารถถูกจับกับไขมันในทางเดินอาหารและรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนและสามารถถูกขับถ่ายออกมาพร้อมอุจจาระ

ปัจจุบันจึงมีการใช้แอบซอร์บิทอลในการควบคุมน้ำหนักและลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ และวิตามินบางชนิดในเลือด การใช้แอบซอร์บิทอลนั้นควรระมัดระวังการขาดวิตามินบางชิดได้ โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายในไขมันได้ เช่น เอ, ดี, อี และเค แอบซอร์บิทอลจึงมีประโยชน์ในการลดการดูดซึมไขมันที่ได้จากอาหารที่รับประทานเข้าไป

แต่ในคนที่ต้องการลดความอ้วนซึ่งไขมันสะสมอยู่มากมายตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งแอบซอร์บิทอลไม่สามารถกำจัดได้ จึงจำเป็นต้องออกกำลังกายควบคู่กันไป เพื่อให้ร่างกายใช้พลังมากขึ้น จึงจะมีการเผาผลาญไขมันสะสมให้ลดน้อยลงและที่สำคัญ แอบซอร์บิทอลไม่ได้มีส่วนในการกำจัดสารอาหารอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารอาหารพวกโปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นสารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายเช่นกัน ดังนั้นแม้ว่าแอบซอร์บิทอลจะช่วยกำจัดไขมันก็ตาม แต่หากต้องการจะลดน้ำหนักก็ควรจะควบคุมการรับประทานอาหารให้น้อยลงและหมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ จึงจะสามารถลดน้ำหนักได้


อย่างไรก็ตามควรคำนึงว่าการลดน้ำหนักให้ได้ผล ไม่ได้อยู่ที่การใช้ยา แต่หัวใจของการลดน้ำหนักอยู่ที่การควบคุมอาหารและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค การใช้ยาเป็นสิ่งที่ช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลเร็วขึ้นเท่านั้น เมื่อประสบผลสำเร็จในการลดน้ำหนักแล้ว การหยุดยาอาจทำให้กลับมาอ้วนได้อีกหากยังไม่ปรับเปลี่ยนนิสัยการบริโภค

ไขปริศนา ทำไมหนุ่มๆ ไม่ชอบพูด


ไขปริศนา ทำไมหนุ่มๆ ไม่ชอบพูด

เคยมั้ย ที่คุณต้องหงุดหงิดกับท่าทางชวนโมโหของหนุ่มๆ ที่ถามอะไร ชวนคุยเท่าไหร่ก็ไม่ยักพูด ตอบ หรืออธิบาย ราวกับว่าคำพูดแต่ละคำของเขาจะร่วงออกมาเป็นเงินเป็นทองยังไงยังงั้น และเมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นทีไร หลายครั้งก็มักจบลงด้วยการมึนตรึง ทะเลาะกันระหว่างความรักของคุณ 2 คน ดังนั้นวันนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" มี 4 คำตอบมาร่วมไขข้องใจว่าทำไม หนุ่มๆเค้าจึงไม่ค่อยเปิดปากพูดกัน

1. ที่แท้ก็เพราะความกลัวนี่เอง

ไม่ต้องสงสัย ผู้หญิงย่อมเป็นเพศที่เลือกว่าเป็นเจ้าแม่ในการพูดมากกว่าพวกเธอสามารถจู่โจมด้วยคำถามหลายๆข้อราวกับโอปราวินฟรีย์เข้าสิง หลังจากเธอซดกาแฟแก้วที่ 3 ที่สำคัญพวกเธอยังมีความสามารถพิเศษในการสืบเสาะหาความจริง เพื่อคาดเาเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆเข้าหากัน นี่ยังไม่รวมสารพัดคำเจรจาที่สาวๆสามารถสรรหามาพูดได้ในทุกเรื่องและทุกเวลา

และเพื่อให้การเจรจาประสบผลสูงสุด พวกเธอยังไม่ลืมหมั่นฝึกลับสมองในการตั้งคำถามและตอบปัญหากับเพื่อนๆเสมอ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่หนุ่มๆรู้เป็นอย่างดี ดังนั้นผลที่ตามมาคือ ผู้ชายกลัวการที่จะพูดมากๆ เพราะหากเขาเผลอพูดอะไรผิดไปหล่ะก็ พวกเขาอาจตกอยู่ในสถานการณืที่เลวร้ายมากกว่า

2.ผู้ชายต้องการผ่อนคลายหรือลดความกดดัน

ในความคิดของผู้หญิง เมื่อผู้ชายเดินผ่านประตูเข้ามา พวกเขาต้องสามารถบอกเล่ารายละเอียดว่าเกิดอะไรกับเขาบ้างในวันนี้ ขณะที่ในมุมมองของผู้ชาย พวกเขาแค่ต้องการว่าเมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาจะสามารถเดินตรงไปยังห้องน้ำ เพื่อทำธุระส่วนตัว และสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะคิดถึงก็คือ การสนทนาหรือถกปัญหาว่า วันนี้พระอาทิตย์ส่องแสงจ้าแค่ไหน หรือความน่ากลัวของปรากฏการณ์น้ำท่วมโลก อย่างไรก็ตามจากผลการสำรวจสิ่งที่ผู้ชายต้องการทำหลังจากกลับบ้าน พบว่า 14% ต้องการเช็คอีเมล 12%ต้องการใช้เวลาส่วนตัวในห้องน้ำ ขณะที่อีก 10 %ต้องการดินเนอร์ หรือจะสรุปง่ายๆว่า หลังจากที่พวกผู้ชายต้องใช้เวลาทั้งวัน เพื่อให้บริการคนอื่นแล้ว ดังนั้นในเวลาส่วนตัวที่เหลือพวกเขาก็ย่อมต้องการที่จะมีเวลาส่วนตัว เพื่อเอาแต่ใจตัวเองบ้าง

3.ผู้ชายรู้สึกสะดวกใจในการแสดงออกด้วยการกระทำมากกว่าคำพูด

แทนที่จะแสดงออกด้วยคำพูดหรือความรู้สึก่าเขารักคุรผู้หญิงมากแค่ไหน พวกเขาจะเลือกแสดงออกด้วยการซื้อดอกไม้้มามากกว่า และหาเขาต้องพูด เขาก็จะชอบพูดถึงแนวทางการปฏิบัติมากกว่าเรื่องของความรู้สึก ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชายส่วนมากมักจะแสดงถึงความซื่อสัตย์ที่มีต่อคนรัก ด้วยการพูดถึงการวางแผนวันหยุดของฤดูร้อนปีหน้า มากกว่าการพร่ำพรรณาถึงความรักที่ไม่มีวันตายของเขา เพราะรัก

4.ผู้ชายไม่ต้องการดึงตัวเองเข้าไปเป็นจุดสนใจ

จากผลการสำรวจ 65% ของผู้ชายส่วนใหญ่พบว่า พวกเขาไม่ต้องการให้ใครมาซักไซร์ หรือถามคำถามเกี่ยวกับจตัวเขา สาเหตุอาจเป็นเพราะพวกเขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการทำงาน และไม่อยากรู้สึกเหมือนเป้นพยานในการเข้าให้การ ซึี่งการนิ่ง ไม่ตอยของหนุ่มๆ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขากำลังต้องการที่จะซ่อนเร้นบาอย่าง เพราะว่า บางครั้งผู้ชายก็ไม่ต้องการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาวะที่รู้สึกสับสน

วิธีขจัดรอยเปื้อนบนพรม


วิธีขจัดรอยเปื้อนบนพรม

รอยเปื้อนทั่วไป ใช้ผ้าแห้งซับลงบนรอยเปื้อน อย่าถูหรือขยี้พรมเด็ดขาด หากมีกลิ่นอับให้ใช้ผงฟูหรือข้าวโอ๊ตโรยบนพรมให้ทั่ว ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออกให้เกลี้ยง กลิ่นจะค่อยๆจางหายไป

รอยเปื้อนจากสนิม ใช้ผ้าแห้งชุบน้ำส้มสายชูหรือน้ำมะนาว เช็ดไปที่รอยเปื้อน จนรอยนั้นจาง

รอยเปื้อนจากไวน์หรือน้ำผลไม้ ใช้ผ้าแห้งชุบโซดาหรือน้ำยาล้างจาน ซับไปตามรอยเปื้อน

รอยเปื้อนจากคราบเลือด และช็อกโกแลต ใช้ผ้าชุบน้ำเปล่าที่ผสมแอมโมเนีย 1 ช้อนชา เช็ดตามรอยเปื้อน โดยเริ่มจากรอบนอก แล้วเช็ดซ้ำด้วยผ้าแห้ง

รอยเปื้อนหมากฝรั่ง วางน้ำแข็งบนหมากฝรั่ง เพื่อให้หมากฝรั่งแข็งตัว จากนั้นค่อยๆแกะหมากฝรั่งออก แล้วเช็ดออกด้วยน้ำยาซักแห้ง

หากอยากให้พรมปราศจากรอยเปื้อย ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้ดูได้

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Soft tissue fillers สารเติมความอูมเพื่อความงาม


Soft tissue fillers สารเติมความอูมเพื่อความงาม

มีคนไข้หลายคน มาปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับการใช้สารฉีดหน้า เพื่อแก้ไขรอยย่น รอยบุ๋ม รวมทั้งเติมความอูมของส่วนต่างๆ อีกทั้งเมื่อนั่งตรวจคนไข้อยู่ทุกวันจะพบกับคนไข้กลุ่มหนึ่งที่มาให้แก้ไขความผิดปกติของใบหน้า และอวัยวะหลายส่วนที่ได้จากการฉีดสารต้องห้าม เช่น พวกน้ำมันซิลิโคน พวกพาราฟิน หรือพวกไขมันเทียมอย่างที่หมอเถื่อนหรือนักฉีดพเนจร (ที่ใช้ชื่อนี้เพราะว่าพวกนี้มักจะไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่มักจะหิ้วกระเป๋าฉีดตามแฟลต คอนโด หรือห้องแถวต่างๆ และอาศัยการหาคนไข้โดยผ่านทางระบบนายหน้าหรืออาศัยการกล่อมคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ให้หลงเข้าไปให้ฉีด แต่เมื่อฉีดแล้วกลับไปหาตัวก็มักจะหาไม่เจอเพราะย้ายที่อยู่ไปเรียบร้อยแล้ว) ใช้เรียกกัน เลยทำให้ได้ความคิดว่าน่าจะเขียนบทความเกี่ยวกับสารฉีด สารเติมความอูมที่ใช้ในท้องตลาดขณะนี้ให้ได้อ่านกันอย่างกว้างๆ สักหน่อย เผื่อเวลาไปเจอชื่อเรียกของสารเหล่านี้ในหน้าหนังสือ หรือนิตยสารที่ทันสมัยหน่อยจะได้มีแนวทางมาเปรียบเทียบว่าสารนั้นๆ เป็นสารพวกไหนและมีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใด บทความนี้เป็นเพียงบทความเสนอแนะคร่าวๆ เท่านั้นไม่ได้ลงไปในรายละเอียดเหมือนที่หมอๆ เค้าเรียนกันที่จะลึกซึ้งถึงระดับโมเลกุลเลยทีเดียว แต่คุณผู้อ่านคงจะได้ความรู้ไว้กว้างๆ ประดับสมองบ้างไม่มากก็น้อย

ความนิยมในการเสริมความงามนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน แต่สิ่งที่มักจะเป็นหัวข้อที่ต้องการของคนไข้นั้นก็มักจะอยู่ในแนวทางดังนี้คือ ควรจะหายเร็ว ไม่มีความผิดปกติให้เห็นชัดนานเกินไป ได้ผลดีหรือดีเลิศ รวมทั้งมีความปลอดภัยสูง ซึ่งทั้งนี้การผ่าตัดก็มีข้อจำกัดอยู่บางส่วน ทำให้ในบางกรณีการใช้สารบางอย่างฉีดเข้าไปที่ใบหน้าและสามารถแก้ไขปัญหาได้นอกเหนือจากการผ่าตัดจึงเป็นแนวทางหนึ่งที่คนไข้มักจะนิยมเลือกใช้ และทำให้ปัจจุบันนี้มีการค้นคว้าหาวัสดุหรือสารที่ฉีดเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี ดังจะเห็นได้จากสถิติของการใช้ injectable soft tissue filler ในอเมริกามีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากผิดหูผิดตาตั้งแต่ปี 1997-2000 เช่นการใช้ collagen ฉีดเพิ่มขึ้นถึง 71% การใช้ไขมันตนเองฉีดมีอัตราเพิ่มถึง 121% เป็นต้น

ถึงแม้ว่า soft tissue filler ที่สมบูรณ์ในอุดมคติในปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถผลิตออกมาได้ก็ตาม แต่เราก็สามารถจะบอกได้ว่าสารที่น่าจะนำมาฉีดได้ผลดีและเป็นที่ต้องการในแง่ทางการแพทย์ควรจะมีลักษณะเช่นใด (ขอให้ดูตารางที่ 1 ประกอบ) โดยมากหมอมักจะคิดถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นประการแรก (safety first) ติดตามมาด้วย ผลสำเร็จของการใช้ (efficacy) นอกจากนั้นก็คงเป็นเรื่องของการติดเชื้อ หรือความต้านทานต่อการติดเชื้อได้ดี, ความง่ายในการฉีดหรือการใช้ โดยมีแผลเล็กหรือน้อย, การหายสนิทของแผลในช่วงเวลาสั้นๆ รวมทั้งสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญคือควรจะมีผลอยู่คงทนถาวรพอสมควร (โดยปกติหากฉีดแล้วอยู่ได้เกินกว่าหนึ่งปีเราก็มักจะถือได้ว่าได้ผลพอสมควรแล้ว แต่ถ้านานกว่านี้ได้ก็ถือว่าสอบผ่าน) หลังฉีดแล้วควรจะให้ความรู้สึกที่เหมือนกับผิวหนังปกติและควรจะมีความคงทนถาวรต่อการถูไถและการสัมผัสได้ดี (ไม่ใช่ว่าฉีดแล้วห้ามแตะต้องบริเวณนั้นๆ เลยก็ไม่ไหวเหมือนกัน) และในประเด็นเกี่ยวกับการเลาะเอาออกได้ง่ายเมื่อไม่ต้องการก็เป็นเรื่องที่น่าใส่ใจด้วยเหมือนกัน (หากฉีดแล้วแก้ไขไม่ได้เลยก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงพอสมควร)

ประการสุดท้ายก็คือเรื่องของการก่อมะเร็งและการเป็นพิษภัยต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกาย หรือต่อทารกในครรภ์ก็ต้องไม่มีในสารนั้นๆ ซึ่งแน่นอนที่สุดในประเทศที่ผลิตเพื่อวางขายก็คงต้องมีระบบทดสอบและตรวจสอบอย่างเข้มงวดในปัจจุบันจึงจะผ่านออกมาขายได้ ดังนั้นการจะใช้สารฉีดชนิดใดๆ ที่ใบหน้าหรือร่างกายของเราก็ตามสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาหาความรู้กันให้ถ่องแท้เสียก่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจเมื่อเกิดผลข้างเคียงตามมาในภายหลัง ซึ่งบางครั้งก็ไม่สามารถแก้ไขกลับคืนมาสู่สภาพเดิมได้อีกด้วย
1. สารที่มาจากธรรมชาติ ที่สกัดมาจากเนื้อเยื่อมนุษย์

สารที่อยู่ในกลุ่มนี้ตัวอย่าง เช่น acellular dermal material (Alloderm เป็นต้น) เป็นสารที่มีมาตั้งแต่ปี 1990 และสามารถใช้โดยการเปิดแผลเล็กๆ แล้วเติมเข้าไปในส่วนที่ต้องการ แต่ในเวลาต่อมาพบว่ามีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับการสลายตัวไปรวดเร็วประมาณ 6 เดือนถึงหนึ่งปีเท่านั้น จึงมีสารตัวอื่นๆ เช่น cadaver-derived human collagen (Dermalogen) ออกมาใช้แพร่หลายในเวลาต่อมา แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องการสลายตัว และอาจจะเกิดการแพ้ได้ นอกจากนั้นยังมีตัวอื่น เช่น Autologen (autologous dermal material) ซึ่งอยู่คงทนมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม autologen นั้นเป็นสารที่ใช้ฉีดได้ค่อนข้างยากและการฉีดที่ไม่ดีพอจะทำให้เกิดการขรุขระได้ แต่อย่างไรก็ตามการใช้ autologous dermal fat อาจจะได้ผลดีเหมือนกันแต่ก็ยังมีผลเกี่ยวกับผลในระยะยาวเหมือนกัน และยังขึ้นอยู่กับเทคนิกในการสกัดจากร่างกายด้วยเหมือนกัน ในระยะหลัง ๆ นี้มีการเปิดตัวสารใหม่คือ Cymetra (micronized acellular dermal material) ซึ่งทางผู้ผลิตคิดว่าน่าจะอยู่ได้ยาวนานกว่าสารตัวอื่น ๆ แต่เนื่องจากเป็นตัวใหม่อยู่จึงต้องติดตามผลการรักษาในระยะยาวเสียก่อนจึงจะบอกผลได้ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร

2. สารที่สกัดมาจากสัตว์

สารในกลุ่มนี้มีการใช้มาตั้งแต่ช่วงปี 1980 มาแล้ว ได้แก่พวก zyplast, zyderm แต่ผลการรักษานั้นดูจะยังไม่ค่อยน่าจะประทับใจเท่าไหร่ เพราะมีปัญหาหลายอย่างเช่นเรื่องของการแพ้, การเกิดการอักเสบ (low grade inflammation) และยังมีปัญหาเรื่องการสลายตัวเมื่อเวลาผ่านไปด้วย สารชนิดอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันนี้ที่เป็นตัวใหม่ๆ ก็ได้แก่พวก Permacol ซึ่งเป็น collagen มาจากหมู และผลิตออกมาเป็นแผ่นๆ แต่เมื่อนำมาใช้ก็พบว่าผลการรักษาก็ดูจะคล้ายๆ กับกลุ่ม zyderm, zyplast เรียกว่าไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่

3. สารสังเคราะห์ที่มาจากสิ่งมีชีวิต หรือมนุษย์

สารกลุ่มนี้ที่เป็นที่รู้จักกันดีก็ได้แก่ Gore-Tex ซึ่งได้มีการใช้และรายงานในวารสารทางการแพทย์มาอย่างต่อเนื่องนานหลายปีแล้ว และยังมีตัวที่พัฒนามาจาก Gore-Tex คือ SoftForm ซึ่งต่อมาก็พบว่ามีปฏิกริยาต่อผิวหนังและเยื่อบุค่อนข้างมากจึงถูกถอดออกจากท้องตลาดไปตั้งแต่ปี 2000

มีสารสังเคราะห์ที่ได้จาก hyaluronic acid ซึ่งพบว่าเป็นสารที่ดูน่าจะดีสำหรับการเอามาฉีด เสริมส่วนต่างๆ ทั้งนี้เนื่องจากสารตัวนี้สามารถพบได้ในเนื้อเยื่อของคนเราอยู่แล้ว โดยเป็นส่วนประกอบของ chondroitin sulfate, collagen เป็นต้น ดังนั้นสารนี้จึงถูกนำมาผลิตและขายในท้องตลาดในหลายรูปแบบด้วยกัน ได้แก่ Hylaform, Hyalaform gel, Synvisc, Biomatrix, Restylane, Restylane-5, Perlane เป็นต้น แต่สารกลุ่มนี้บางชนิดจัดว่ายังเป็นของใหม่จึงอาจจะยังไม่ผ่านการรับรองของ FDA ในบางประเทศ ผลข้างเคียงของสารกลุ่มนี้อาจจะมีบ้างเช่นการเกิดปฏิกริยาของร่างกาย การสลายตัว (Resorption) ซึ่งผู้ผลิตต่าง ๆ ก็พยายามที่จะทำให้สารเหล่านี้บริสุทธิ์ขึ้นเพื่อจะได้มีปฏิกริยาลดลง แต่กระนั้นก็ยังแก้ปัญหาเรื่องการสลายตัวยังไม่ดีพอ (คิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกหน่อยก็คงจะได้สารที่คงสภาพได้ดีมากขึ้น)

4. สารสังเคราะจากสารเคมีล้วนๆ

สารในกลุ่มนี้ที่ เราพอจะรู้จักกันดีได้แก่ Silicone, Bioplastique,Artecoll เมื่อไม่นานมานี้ทาง FDA ของสหรัฐได้ยอมรับการใช้ Silicone เหลว 2 ชนิดคือ Adatosil 5000 และ Silikon 1000 สำหรับการใช้ในการรักษา retinal detachment (แต่ไม่ใช่รักษาหรือฉีดเสริมสวยอย่างที่เรานำมาใช้กันในเมืองไทยโดยหมอเถื่อน ซึ่งไม่ว่าที่ไหนก็ไม่มีการรับรอง) ส่วน Bioplastique ซึ่งผลิตโดย Geleen ประเทศเนเธอร์แลนด์ นั้นเป็นสารที่ประกอบด้วย microparticles ของ solid-state polydimethylsiloxane (หรือซิลิโคนนั่นเอง) แต่ได้รับการผสมด้วย biocompatible carrier gel หุ้มภายนอกอีกทีหนึ่ง และเคยมีการใช้ในอเมริกาอยู่ช่วงสั้นๆ แต่ก็สาบสูญหายไปโผล่ในประเทศแถบยุโรปและเอเซียแทน ส่วนผลการรักษานั้นดูจะไม่ค่อยแน่นอนนักและยังต้องการการศึกษาทั้งในด้านความปลอดภัยและเทคนิกการฉีด และที่สำคัญสำหรับสารชนิดนี้คือการเลาะออกหากไม่ต้องการค่อนข้างจะยากและอาจจะต้องเสียเนื้อเยื่อรอบด้านไปด้วย

Artecoll เป็นสารที่ผลิตออกมาโดยหวังผลของคุณสมบัติที่ดีของสารฉีดในอุดมคติ โดยตัวมันประกอบด้วย polished polymethylmethacrylate bead (plexiglass) แล้วนำมาเคลือบด้วย collagen matrix อีกทีหนึ่ง ทำให้การสลายตัวของมันเกิดขึ้นได้ยากกว่าโดยเมื่อถูกฉีดเข้าไปในร่างกายแล้ว ร่างกายจะสร้างพังผืดมาทดแทน collagen ที่มีอยู่เดิมแล้วสลายตัวไปหลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน ดังนั้นผลข้างเคียงจึงมักจะเกิดจากการเกิดพังผืด อาการบวมแดง หรืออาจจะคลำก้อนได้ตะปุ่มตะป่ำ แต่อย่างไรก็ตามสารตัวนี้ก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการรับรองจาก US FDA ในปัจจุบัน

หากจะพิจารณา เรื่องเกี่ยวกับสารฉีดในปัจจุบันนี้เท่าที่มีการใช้และรายงานกันอยู่ในวารสารต่างๆ ดูเหมือนว่า artecol และ hyaluronic acid น่าจะเป็นสารที่ดูจะปลอดภัยและเป็นที่นิยมมากในอเมริกา และถึงแม้ว่าทาง FDA ยังไม่ได้รับรอง แต่ในอนาคตหากมีการใช้กันนานกว่านี้และมากขึ้นแพร่หลายก็อาจจะทำให้ความเข้าใจและการวิจัยเกี่ยวกับสารฉีดเหล่านี้และตัวอื่นๆ พัฒนาต่อไปเพื่อจะได้สารฉีดที่สมบูรณ์แบบในอนาคตได้