วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

target='_new' href=''>??้ำกะทิ รักษาผมร่วง


ใครมีปัญหาผมร่วง วันนี้มีวิธีรักษาผมร่วงด้วยน้ำกะทิมาฝาก...

น้ำกะทิ ขาวข้นอุดมไปด้วยสารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีนที่ช่วยบำรุงรากผมให้ผมงอกและยาวเร็ว ทั้งป้องกันผมร่วงและผมบาง แถมยังช่วยแก้ปัญหาผมแตกปลายได้ด้วย

วิธีทำ นำหัวกะทิมาชโลมเส้นผมและหนังศีรษะให้ทั่ว แล้วใช้ปลายนิ้วมือนวดเบา ๆ ทิ้งไว้ประมาณ 20 - 30 นาที จากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด แล้วสระผมตามปกติ

เพียงเท่านี้ปัญหาผมร่วงก็จะหมดไป

สระให้สวย สะอาด อย่างประหยัด


ขั้นตอนการมีผมสวยเงางามนั้นไม่ยาก เพียงแค่สระผมให้ถูกวิธีเท่านั้นเอง

การสระผมที่ถูกต้องควรชโลมผมให้เปียกทั่วกัน จากนั้นเทแชมพูลงบนฝ่ามือ ขยี้ให้เกิดฟอง แล้วจึงนวดแชมพูลงบนบริเวณหนังศีรษะก่อน ส่วนปลายผมนั้น แค่น้ำที่ล้างแชมพูไหลผ่านก็เพียงพอต่อการทำความสะอาดแล้วค่ะ

ส่วนผู้ที่มีผมมันไม่ต้องชโลมผมให้เปียก เพียงใช้น้ำเล็กน้อยขยี้แชมพูให้เป็นฟองบนฝ่ามือแล้วสระลงบนเส้นผมที่แห้งได้เลย เพื่อให้แชมพูเข้าขจัดความมันจากเส้นผมได้ดียิ่งขึ้น เพราะโดยธรรมชาติน้ำกับน้ำมันจะแยกตัวกันอยู่แล้ว หากใช้น้ำชโลมผมจนเปียก แชมพูจะเข้าไปจับกับความมันที่หนังศีรษะได้ลดลง

ส่วนการใช้ครีมนวดผม ให้นวดที่ปลายผมก่อนค่ะ ทั้งนี้ เพราะบริเวณปลายผมจะเป็นส่วนที่แห้งและต้องการการบำรุงที่มากกว่า

จะให้ดียิ่งขึ้นนอกจากการสระที่ถูกวิธี เลือกแชมพูและครีมนวดให้เหมาะกับสภาพเส้นผมแล้ว ถ้าจะให้ผมสวยถาวรก็ต้องสวยมาจากภายในค่ะ ผักและผลไม้นี่แหละค่ะพระเอกบำรุงผมของจริง

หายป่วย...ด้วยมือแม่


หายป่วย...ด้วยมือแม่ (Mother&Care)

ช่วงต้นปีอากาศดี ๆ แบบนี้ "ไข้หวัด" มักมาเยี่ยมเยือนเด็ก ๆ อยู่เสมอ ทารกตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 ขวบจะเป็นไข้ได้ง่าย เนื่องจากกลไกควบคุมอุณหภูมิร่างกายของเขายังทำงานได้ไม่ดีพอ การเป็นไข้ในเด็กเล็ก ๆ มักเกิดจากปฏิกิริยาโต้ตอบ ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อด้านเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย ซึ่งกว่า 95 เปอร์เซ็นต์จะหายได้เองโดยไม่ต้องพึ่งยา แต่สำหรับเด็กเล็ก ๆ หากมีไข้สูงนานกว่า 24 ชั่วโมง หรือมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ต้องรีบพาไปพบคุณหมอทันทีค่ะ

แม่จ๋า...หนูไม่สบายตัว

นอกจากอาการไข้ตัวร้อน ที่บ่งบอกว่าลูกไม่สบายแล้ว คุณแม่ต้องสังเกตอาการอย่างอื่นที่บ่งชี้ว่า ลูกกำลังป่วยร่วมด้วย เพราะบางครั้งเด็กไม่สบายก็ไม่ได้มีอาการตัวร้อนก่อน ถ้าลูกไม่ร่าเริง ง่วงซึมตลอดเวลา ไม่ยอมดูดนมตามปกติ ปฏิเสธอาหารเสริมที่เคยชอบ โยเย ร้องกวนมาก หรือร้องเสียงสูงๆ แสดงอาการหงุดหงิด โมโห กระสับกระส่าย ก็อาจเป็นสัญญาเดือนว่ามีอะไร บางอย่างผิดปกติที่ทำให้ไม่สบายตัวแล้วล่ะค่ะ

การวัดไข้เด็ก

1. กรณีใช้แถบวัดไข้เด็ก ควรทำความสะอาดหน้าผากลูกด้วยการใช้ผ้าขนหนูเช็ดเบา ๆ ก่อน

2. จากนั้นติดแถบวัดไข้เด็กบริเวณกลางหน้าผากลูกโดยใช้นิ้วกดที่ปลายทั้งสองด้านไว้ รอประมาณ 30 วินาที แล้วดูว่าแถบสีเขียวขึ้นที่ตัวเลขใด

3. อีกวิธีหนึ่งที่สะดวกคือการใช้ปรอทวัดไข้แบบดิจิตอล ซึ่งวัดได้รวดเร็วอ่านค่าได้ง่าย

4. กรณีวัดไข้ทางรักแร้ ให้สอดปรอทวัดไข้ไว้ที่รักแร้ของลูก แล้วจับที่ข้อศอกเขาไว้ให้แขนแนบชิดกับลำตัว รอจนมีเสียงปิ๊บเตือนจึงอ่านค่า

การป้อนยาด้วยกระบอกฉีดยาพลาสติก (Syringe)

5. กระบอกฉีดยาพลาสติกมีหลายขนาด ตั้งแต่ 1, 3, 5 ไปจนถึง 10 ซีซี

6. ข้อดีของการใช้กระบอกฉีกยาคือ มีขีดบอกปริมาตรที่ละเอียดแม่นยำ ทำให้สามารถดูดยาได้ตรงตามปริมาณที่ต้องการ

7. วิธีการอุ้มเด็กไว้ในวงแขน ค่อย ๆ ฉีดยาในหลอดเข้าบริเวณกระพุ้งแก้มด้านใดด้านหนึ่งของลูก ไม่ควรฉีดเข้าตรงกลางปากเพราะลูกจะสำลักยาได้ง่าย ควรป้อนช้า ๆ รอจนกว่าลูกจะกลืนยาหมด

คุณหมอประจำบ้าน

การพาลูกไปพบแพทย์เมื่อลูกไม่สบายเป็นเรื่องจำเป็น แต่ถึงลูกจะได้พบแพทย์แล้ว ได้ยามาทานแล้ว แต่การดูแลเขายังคงเป็นหน้าที่ของคุณแม่อยู่ดี ยิ่งในเด็กเล็ก ๆ แม้เพียงไข้หวัดก็อาจทำให้เขาไม่สบายตัวได้ถึง 2 สัปดาห์เลยทีเดียว

ระหว่างนี้คุณแม่ต้องคอยป้อนยาให้เขาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ถ้าลูกป่วยเนื่องจากหวัด เวลานอนก็ควรจัดให้ลูกหนุนหมอนให้ศีรษะอยู่สูงกว่าตัวเล็กน้อย เพื่อให้เขาหายใจได้สะดวกขึ้น และหมั่นเช็ดตัวเพื่อช่วยลดอุณหภูมิร่างกายให้เขาด้วยค่ะ

และสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากในการดูแลลูกยามเจ็บป่วย ซึ่งคุณหมอที่โรงพยาบาลช่วยไม่ได้ ก็คือการสร้างความอุ่นใจให้ลูก คุณแม่คงเป็นคนพิเศษคนเดียวที่จะทำหน้าที่นี้ได้

หายป่วย...ด้วยมือแม่

ยามลูกไม่สบายเขาต้องการความอบอุ่นจากคุณแม่มากเป็นพิเศษ การสัมผัสอย่างอ่อนละมุนของแม่ อย่างการอุ้มพร้อมโยกตัวเบา ๆ หรือแม้เพียงการวางมือลงบนตัวลูกแล้วลูบไล้ ก็ช่วยให้ลูกรู้สึกสบายตัวขึ้นได้

นอกจากนี้ระหว่างที่ลูกป่วย คุณแม่ควรพูดคุยกับลูกให้บ่อยขึ้น ไม่ต้องห่วงว่าลูกจะไม่เข้าใจที่คุณพูด เพราะทารกสามารถจดจำเสียงของแม่ได้ตั้งแต่เขายังอยู่ในท้องแล้ว เสียงของคุณจึงเป็นเสียงแห่งความคุ้นเคยที่สร้างความสบายใจให้ลูกได้เป็นอย่างดี การพูดคุยกับลูก แม้เขาจะยังไม่สามารถเข้าใจหรือคุยบอกเล่าความไม่สบายกายของเขาออกมาให้คุณรับรู้ได้ แต่เชื่อเถอะว่า เขาจะมีความสุข และรู้สึกผ่อนคลายความเครียดจากการเจ็บป่วยลงได้

ดื่มยาจากถ้วย

8. ยาน้ำสำหรับเด็กมักมีถ้วยตวงยามาให้ในกล่องยา โดยอาจมีขีดบอกปริมาตรเทียบเป็นช้อนชา เช่น ¼, ½, ¾ ช้อนชา หรือบางยี่ห้อก็ระบุเป็นซีซี ก่อนให้เด็กดื่มควรตรวจสอบปริมาตรยาให้พอดีกับที่ฉลากยาระบุไว้

9. ยาบางชนิดมีรสชาติขมเฝื่อน ถ้าขมมากคุณแม่สามารถเติมน้ำสะอาด หรือน้ำหวานลงไปเพื่อให้มีรสชาติอ่อนลงเด็กจะรับประทานได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ควรผสมยากับนม

10. การประคองลูกอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้เขายอมดื่มยาได้ง่ายขึ้น

การใช้หลอดหยดยา

11. การป้อนยาลูกด้วยหลอดหยดยา ต้องบีบที่หัวยางด้านบนของหลอดหยดยาเพื่อไล่อากาศออกก่อน จุ่มหลอดหยดลงในยา ค่อย ๆ ปล่อยให้ยาถูกดูดขึ้นมาจนได้ปริมาตรที่กำหนด ถ้าเกินให้บีบออก

12. ข้อควรระวังในการใช้หลอดหยดยาคือ เวลาดูดยาต้องไม่ให้มีฟองอากาศเข้าไปในหลอดหยด เพราะจะทำให้ปริมาณยาที่ดูดเข้าไปไม่ตรงตามความต้องการ

13. ใช้วิธีเดียวกับการป้อนยาด้วยกระบอกฉีดยา คือ อุ้มลูกไว้ในวงแขน ค่อย ๆ หยดยาในหลอดเข้าบริเวณกระพุ้งแก้มด้านใดด้านหนึ่งของลูกช้า ๆ

ช้อนป้อนยา

14. ช้อนป้อนยามักมาในกล่องยา ทำให้มีรูปร่างสีสัน และขีดบอกปริมาตรแตกต่างกันออกไป จึงควรอ่านฉลากยาและสังเกตขีดที่ช้อนก่อนทุกครั้ง

15. เด็กที่เคยรับประทานยากที่มีรสชาติหวานดื่มง่ายอาจยอมรับประทานยาจากช้อนแต่โดยดี แต่ถ้าเขาไม่ยอมคุณแม่อาจรินยาใส่ช้อนแล้วใช้กระบอกฉีดยาพลาสติกดูดยาป้อนให้ลูก หรือจะเทียบปริมาตร ดังนี้

1/4 ช้อนชา = 1.25 ซีซี

1/3 ช้อนชา = 1.70 ซีซี

1/2 ช้อนชา = 2.50 ซีซี

3/4 ช้อนชา = 3.75 ซีซี

1 ช้อนชา = 5 ซีซี

target='_new' href=''>??สงแดด ศัตรูสำคัญของดวงตา


target='_new' href=''>??สงแดด ศัตรูสำคัญของดวงตา
ไม่ว่าจะหน้าร้อน หน้าฝน หน้าหนาว ต้องยอมรับเลยล่ะค่ะว่า เมืองไทยของเรานี่แดดแรงเสียทุกฤดูกาล ทุกสภาพอากาศเสียจริง ๆ แล้วรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต หรือ รังสี UV ที่มาพร้อมกับแสงแดดตัวดี เป็นศัตรูตัวร้ายของดวงตาคู่สวยของเราเลยล่ะ มักจะทำให้เกิดโรคปัญหากับดวงตาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

ต้อลม เกิดจากรังสี UV จากแสงแดด ไปกระตุ้นให้เยื่อบุตาเสื่อมสภาพและพอกตัวหนาขึ้น จนเห็นเป็นวุ้น ๆ ขาว ๆ ที่ตาดำ ก่อให้เกิดการระคายเคืองตา ตาแดง สู้แสงไม่ได้

ต้อเนื้อ จัดอยู่ในกลุ่มของเยื่อบุตาเสื่อมสภาพมีการหนาตัวขึ้นและมีเนื้อเยื่อ รวมถึงเส้นเลือดมากขึ้น จนกลายเป็นเนื้อเยื่อแดง ๆ แปะอยู่บนตาดำ ถ้าเป็นมากก็จำเป็นต้องผ่าตัดรักษา

ต้อกระจก รังสี UV ในแสงแดดจะเป็นตัวกระตุ้น ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงที่เลนส์แก้วตา โดยทำให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระที่เลนส์แก้วตามากขึ้น กระตุ้นให้เซลล์เสื่อมสภาพ และเสียความใสไป กลายเป็นเลนส์ขุ่น มีผลทำให้การมองเห็นลดลง

จอประสาทตาเสื่อม จากการศึกษาพบว่า รังสี UV มีผลโดยตรงต่อการเสื่อมของจุดศูนย์กลางภาพของจอประสาทตา

ภาวะตาแห้ง มักพบได้บ่อยทั้งในช่วงหน้าร้อน และหน้าหนาว ซึ่งวิธีป้องกันคือ ต้องพักสายตาบ่อย ๆ ในขณะทำงาน รวมทั้งดื่มน้ำมาก ๆ และไม่ควรเปิดพัดลม แอร์ ให้เป่าเข้าหน้าโดยตรง หรือถ้าใครมีอาการมาก ก็ใช้น้ำตาเทียมหยอด จะช่วยบรรเทาได้

เห็นไหมคะว่า แสงแดดก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ กับดวงตาคู่สวยของเราได้มากทีเดียว ซึ่งวิธีป้องกันวิธีหนึ่งก็คือ การสวมแว่นกันแดด ที่จะสามารถช่วยป้องกันแสงแดด และรังสี UV ได้ นอกจากนี้ เรายังสามารถบำรุงรักษาดวงตาได้ ด้วยการรับประทานเบอร์รี่ ผลไม้ที่ได้ชื่อว่าดีต่อดวงตา สามารถชะลอการเสื่อมของจอประสาทตา และช่วยลดความเสี่ยงการเกิดต้อกระจก เพราะในเบอร์รี่มีสารแอนโธไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำงานตรงต่อดวงตา

ประโยชน์ของเบอร์รี่ อาทิเช่น

ช่วยคลายความเหนื่อยล้าของดวงตา

ป้องกันเซลล์ตาไม่ให้ถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระ

ชะลอการเสื่อมของจอประสาทตา

ช่วยในการมองเห็นในที่ ๆ มีแสงน้อย

ลดความเสี่ยงการเกิดต้อกระจก

ช่วยในการไหลเวียนของเลือดในดวงตา ลดการเกิดเส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติในจอตา สาเหตุที่ทำให้มองภาพไม่ชัดเจน
ว่าแล้ว...ก็ลองหาพวกผลิตภัณฑ์สกัดเข้มข้นที่มีส่วนผสมของเบอร์รี่ มารับประทานเพื่อปกป้องดวงตาคู่สวยของเรากันดูนะคะ

แหล่งที่มา
- bloggang.com
- oknation.net

เอกสารอ้างอิง

1.Young RW. The family of sunlight-related eye disease. Optom Vis Sci 1994

2.อุบลรัตน์ ประดิษฐ์กุล. บิลเบอร์รี่กับสุขภาพ. วารสารเภสัชกรรมโรงพยาบาล. ปีที่ 12 ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2545

3. Antal DS et al. The Anthocyans: Biologically-active substances of food and pharmaceutics interest. The Annals of the University Dunarea de jos of Galati Fascicle VI-Food technology 2003

4. Nakaishi H.et al. Effects of Black Currant anthocyanoside intake on dark adaptation and VDT work-included transient refractive alteration in healthy humans. Altem Med Rev 2000

หยุดบุหรี่ฉับพลันระวังเบาหวาน


หยุดบุหรี่ฉับพลันระวังเบาหวาน

แน่นอนว่า การสูบบุหรี่นั้นเป็นการทำลายสุขภาพ แต่การเลิกสูบบุหรี่แบบหักดิบ ก็อาจไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคอื่นตามมาได้ โดยเฉพาะสิงห์อมควันจอมอ้วน

ผลการศึกษาจากวิทยาลัยการแพทย์จอห์น ฮอปคินส์ เปิดเผยว่า ภายใน 6 ปีแรกหลังจากเลิกบุหรี่เมื่อเปรียบเทียบกับคนไม่สูบบุหรี่ จะมี 70% ของผู้หยุดบุหรี่ที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคเบาหวานระยะที่ 2 หรือระยะที่เป็นแล้วแต่ไม่แสดงอาการ

ดังนั้นแพทย์ผู้จึงคำแนะนำแก่ผู้ต้องการเลิกบุหรี่ ต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมน้ำหนักเป็นอย่างมาก เพราะโปรแกรมการหยุดบุหรี่มักกระตุ้นให้รับประทาน

หากผู้หยุดบุหรี่สามารถควบคุมการกินได้ภายในระยะเวลา 10 วัน หลังการเลิกบุหรี่ ก็จะทำให้ความเสี่ยงลดลงและร่างกายกลับสู่ภาวะปกติได้

อย่างไรก็ตามผลการวิจัยนี้ไม่ได้สนับสนุนให้คุณสูบบุหรี่ต่อไป เพราะถึงที่สุดแล้ว การสูบบุหรี่ก็ยังทำให้เสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ หัวใจวาย และมะเร็งอยู่ดี

รับมือกับ Jet lag


รับมือกับ Jet lag

ฤดูนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นฤดูท่องเที่ยว หลายคนตัดสินใจเดินทางไปในประเทศที่มีอากาศหนาว หากต้องเดินทางไปในที่ไกล ๆ ก็มักจะต้องประสบกับอาการแปลก ๆ หลังจากข้ามทวีปหรือข้ามโซนของเวลาหลาย ๆ โซน คือ รู้สึกง่วงนอน อ่อนเพลีย ไม่สบายตัว รู้สึกหดหู่ นอนไม่หลับ ฉุนเฉียวง่าย เกิดความสับสน และบางทีอาจสูญเสียความจำไป อาการเหล่านี้เราเรียกกันว่า "Jet lag" นั่นเอง นอกจากอาการเหล่านี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เกิดขึ้นกับหน้าที่พื้นฐานต่างๆของร่างกายด้วย เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด และกระบวนการหายใจอีกด้วย

Jet lag เป็นอาการที่ทำให้รู้สึกแย่มาก เมื่อเราต้องเดินทางข้ามเส้นแบ่งโซนของเวลาตั้งแต่ 4 โซนขึ้นไป หรือเมื่อเราหลงเวลาในการเดินทางจากตะวันออกไปยังตะวันตก การฟื้นคืนจากอาการ jet lag จะต้องใช้เวลาในอัตราส่วนประมาณ 1 โซนต่อ 1 วัน (เช่นถ้าเราข้ามโซนของเวลา 4 โซน ต้องใช้การฟื้นตัวประมาณ 4 วัน) อย่างชัดเจน อาการ jet lag สามารถที่จะหยุดชะงักความสนุกสนาน หรือความกระตือรือร้นของเราให้จืดจางลงไป ได้ อาจมีผลกระทบต่อการทำงานสำหรับนักธุรกิจที่ต้องเดินทางเพื่อธุรกิจ วันนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" มีวิธีลดอาการต่าง ๆ ที่เกิดจาก Jet Lag ของศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลเวชธานี มาฝาก

ก่อนการเดินทาง

ควบคุมเวลาอาหารของเรา เพื่อว่าในวันที่เราต้องบิน เราจะได้พร้อมที่จะกินอาหารที่เหมาะสมกับเวลา ณ จุดหมายปลายทางของเรา ควบคุมตารางเวลาการนอนและการพักผ่อนของเราเอาไว้ เพื่อจะได้ไม่ต้องตึงเครียด หรือเกิดอาการเมื่อเริ่มต้นการเดินทางอันยาวนาน

ช่วงระหว่างการบิน

แต่งตัวสบาย ๆ และพยายามปลดเสื้อผ้าที่รัดออก ปรับเข็มนาฬิกาโดยตั้งเวลาของนาฬิกาตามจุดหมายปลายทางของเรา และเริ่มต้นทำตัวให้ดำเนินชีวิตอยู่กับเวลานั้นในใจ ถ้าหากว่าเวลาในจุดหมายปลายทางของเรา เป็นช่วงเวลาที่เรามักจะวิ่งจ็อกกิ้งเสมอ ก็ให้จินตนาการว่ากำลังวิ่งจ็อกกิ้งอยู่ เราอาจพยายามออกกำลังกายบางอย่างด้วยก็ได้ในที่นั่ง เช่น อาจจะโน้มคอไปข้างหลังสัก 5 ครั้งเพื่อบริหารคอและบริหารกล้ามเนื้อแผ่นหลังด้านบน หรืออาจจะเบ่งและผ่อนคลายหน้าอก ท้อง และสะโพกสัก 5 ครั้ง กินอาหารเบาไม่หนักท้องมากและถ้าเป็นไปได้ ให้กินอาหารที่เหมาะสมกับเวลาตามเวลาในจุดหมายปลายทางที่จะไปถึง พยายามหลีกเลี่ยงพวก ลูกกวาด คาเฟอีนและพวกแอลกอฮอล์ต่าง ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราไม่ได้พักผ่อน?

ยิ่งกว่านั้นพวกคาเฟอีนและแอลกอฮอล์จะเพิ่มปฏิกิริยาต่าง ๆ ในการขจัดน้ำออกจากร่างกายของห้องผู้โดยสารที่เพิ่มความกดดัน แนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้มาก ๆ และน้ำเปล่าแทน สำหรับนักเดินทางที่มีประสบการณ์บางคน พยายามที่จะดื่มน้ำผลไม้หนึ่งแก้ว หรือน้ำเปล่าสำหรับทุก ๆ ชั่วโมงที่พวกเขากำลังบินอยู่ ท้ายที่สุดให้นอนและตื่นขึ้นตามตารางเวลาในจุดหมายปลายทางของเรา

เมื่อคุณ ถึงที่หมาย

ให้นอนตามเวลาของท้องถิ่นนั้น ๆ ที่เราไปถึง ทั้งการกินอยู่ และการทำกิจกรรมต่าง ๆ ไปตามตารางเวลาทุกประการ หากว่าเราจะต้องนอนในช่วงระหว่างเวลากลางวัน ให้นอนน้อยกว่าสองชั่วโมงให้ออกนอกบ้านในตอนที่มีแสงสว่าง (หมายถึงเวลาเช้า เร็วเท่าที่จะทำได้สักประมาณ 2 ชั่วโมง) แสงสว่างของดวงอาทิตย์จะช่วยให้เราปรับนาฬิกาชีวภาพในร่างกายใหม่เร็วขึ้น ในท้ายที่สุด ลองดื่มนมสักแก้ว หรือกินไอศกรีมก่อนที่จะเข้านอนถ้าหากว่ามีปัญหาในเรื่องการนอน?

ข้อแนะนำข้างต้น ฟังดูแล้วอาจคล้ายกับการรักษาแบบพื้นบ้านในสมัยก่อน แต่ก็วางอยู่บนรากฐานที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ด้วย ซึ่งผลิตภัณฑ์นมมีคุณสมบัติหลายประการ ที่มีอิทธิพลต่อความง่วงเหงาหาวนอน

คำแนะนำต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นไปได้ที่อาจจะไม่ได้ทำให้เราสามารถเอาชนะอาการ jet lag ได้อย่างสมบูรณ์ แต่จะสามารถช่วยลดอาการที่ไม่สบายต่าง ๆ ของการเปลี่ยนแปลงเรื่องโซนเวลาของเราได้บ้าง สิ่งที่ทำงานได้ผลดีที่สุดสำหรับคนๆหนึ่งนั้น อาจไม่จำเป็นต้องได้ผลดีที่สุดสำหรับคนอีกคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ขอให้คิดถึงข้อแนะนำต่าง ๆ เหล่านี้ในฐานะที่เป็นแนวทาง สำหรับพัฒนาแผนการต่าง ๆ ของตัวเราเอง เพื่อการบินที่เป็นปกติ

22 จานเด็ด ลดเสี่ยงมะเร็ง


22 จานเด็ด ลดเสี่ยงมะเร็ง (Health&Cuisine)

ผลวิจัยล่าสุดจากมหาบัณฑิตสาขาพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า 22 ตำรับอาหารไทยช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงมะเร็งได้

มลฤดี สุขประสานทรัพย์ ผู้วิจัยได้สร้างแบบจำลองเลียนแบบการกินอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง อาทิ อาหารปิ้ง ย่าง รมควัน และอาหารที่ต้มตุ๋นเป็นเวลานาน โดยนำอาหารไทยเหล่านั้นมาทำปฏิกิริยากับไนไตรท์ ในสภาวะคล้ายการย่อยอาหารของคน ได้ผลวิจัยออกมาว่า

อาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีที่สุด ตามลำดับ ได้แก่

1. คะน้าน้ำมันหอย

2. ไก่ทอดสมุนไพร

3. ทอดมันปลากราย

4. แกงเลียง

5. ไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่พร้อมมะเขือเทศ

6. กะเพรากุ้งใส่ถั่วฝักยาว

7. แกงเผ็ดเป็ดย่าง

8. แกงจืดตำลึง

9. ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์

10. ส้มตำไทย

11. ผัดผักรวมน้ำมันหอย

ส่วนอาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีในระดับกลาง ตามลำดับได้แก่

12. ฉู่ฉี่ปลาทับทิม

13. น้ำพริกลงเรือ

14. ห่อหมกปลาช่อนใบยอ

15. แกงจืดวุ้นเส้น

16. แกงเขียวหวานไก่

17. แกงส้มผักรวม

18. ต้มยำเห็ด

และอาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ต่ำ มีอยู่ 4 ชนิดตามลำดับ คือ

19. เต้าเจี้ยวหลน

20. น้ำพริกกุ้งสด

21. ต้มยำกุ้ง

22. ยำวุ้นเส้น

ข้อมูลนี้ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า อาหารไทยไม่แพ้ใครในโลก ทั้งรสชาติและประโยชน์ต่อร่างกาย

ปลาพลวง


ปลาพลวง เป็นชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Neolissocheilus stracheyi หรือ Neolissocheilus soroides เดิม (Tor stacheyi) อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) วงศ์ย่อย Cyprininae - Cyprinini จัดเป็นปลาในวงศ์ปลาตะเพียนที่มีขนาดใหญ่ ลำตัวยาว ด้านข้างแบน มีเกล็ดขนาดใหญ่ หัวเล็ก มีหนวด 2 คู่ อยู่ปากบนและมุมปาก ครีบหางเว้าเป็นแฉกลึก กระโดงหลังค่อนข้างสูงมีก้านแข็ง 1 อัน ครีบหูมีขนาดเล็ก ครีบท้องและครีบก้นมีขนาดใกล้เคียงกัน ลำตัวมีสีน้ำตาล ปนเขียว สีของปลาชนิดนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม บางแหล่งอาจจะมีสีน้ำตาลปนดำเข้ม มีแถบสีคล้ำพาดกลางลำตัวตามยาวไปใกล้โคนหาง ด้านท้องสีจาง ขนาดโดยประมาณ 60 ซ.ม. พบใหญ่สุดถึง 1.5 เมตร
อาศัยอยู่เป็นฝูงใหญ่นับ 100 ตัวขึ้นไป ตามแม่น้ำขนาดใหญ่ที่มีน้ำใสสะอาด เช่น บริเวณแหล่งน้ำเชิงภูเขา หรือตามลำธารน้ำตกต่าง ๆ ทั่วประเทศ
อาหารได้แก่ เมล็ดพืชต่าง ๆ เป็นปลาใหญ่ที่มักไม่มีใครนำมารับประทาน เนื่องจากทานไปแล้วเกิดอาการมึนเมา จึงเชื่อว่าเป็นปลาเจ้า แต่ความจริงแล้ว ปลาชนิดนี้ได้สะสมพิษจากเมล็ดพืชที่รับประทานเข้าไปในร่างกาย เช่นเดียวกับกรณีของปลาบ้า (Leptobarbus hoevenii) มีการรวบรวมลูกปลาจากธรรมชาติเพื่อขายส่งเป็นปลาสวยงาม
ปลาพลวง มีชื่อเรียกต่างออกไปตามภาษาถิ่นเช่น ภาคเหนือเรียก "พุง" หรือ "มุง" บางพื้นที่เรียกว่า "จาด" หรือ "โพ" หรือ "พลวงหิน" เป็นต้น และมีชื่อเป็นภาษากะเหรี่ยงว่า "ยะโม"
ในประเทศไทยสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถพบปลาพลวงได้เป็นจำนวนมาก ได้แก่ น้ำตกพริ้วและน้ำตกลำนารายณ์ จ.จันทบุรี อุทยานถ้ำปลาและอุทยานถ้ำธารลอด จ.แม่ฮ่องสอน

ซิกมันด์ ฟรอยด์


ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จิตแพทย์ชาวออสเตรีย เชื้อสายยิว เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2399 ในจักรวรรดิออสเตรียซึ่งปัจจุบันคือ สาธารณรัฐเช็ก และเสียชีวิตวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2482 รวมอายุ 83 ปี ครอบครัวมีอาชีพขายขนสัตว์ มีฐานะปานกลาง

ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) สนใจด้านวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเวียนนาสาขาวิทยาศาสตร์ แล้วเรียนต่อสาขาแพทยศาสตร์ จากนั้นได้ไปศึกษาต่อด้านโรคทางสมองและประสาทที่กรุงปารีสกับหมอผู้เชี่ยวชาญด้านอัมพาต ที่นั่นฟรอยด์ได้ค้นพบว่าความจริงแล้วคนไข้บางรายป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากภาวะทางจิตใจไม่ใช่ร่างกาย หลังจากกลับมาอยู่ที่กรุงเวียนนา ฟรอยด์จึงใช้วิธีการรักษาแบบจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) กับคนไข้ที่เป็นอัมพาต กล่าวคือให้ผู้ป่วยเล่าถึงความคับข้องใจหรือความหวาดกลัวและพยายามให้ผู้ป่วยเข้าใจเหตุการณ์นั้นๆ เพื่อลดความขัดแย้งในใจ ปรากฏว่ามีผู้ป่วยหลายรายหายจากอัมพาต

ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ได้ศึกษาวิเคราะห์จิตใจของมนุษย์ และอธิบายว่า จิตใจทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ มี 3 ลักษณะ คือ

1. จิตรู้สำนึก (Conscious mind) หมายถึง สภาวะจิตที่รู้ตัวอยู่ ได้แก่ การแสดพฤติกรรม เพื่อให้สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็นจริง

2. จิตกึ่งสำนึก (Subconscious mind) หมายถึง สภาวะจิตที่ระลึกถึงได้ แต่มิได้แสดงออกเป็นพฤติกรรมในขณะนั้น เป็นส่วนที่รู้ตัวสามารถดึงออกมใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ

3. จิตใต้สำนึก (Unconscious mind) หมายถึง สภาวะจิตที่ไม่อยู่ในภาวะที่รู้ตัวระลึกถึงไม่ได้ เป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจ แต่มีอิทธิพลจูงใจพฤติกรรม และการดำเนินชีวิตของคนเรามากที่สุด

เขาอธิบายว่าจิตใต้สำนึกของคนเราแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ อิด (Id) อีโก้ (Ego) และ ซุปเปอร์อีโก้ (Superego) โดย อิดจะเป็นพลังอารมณ์ความรู้สึกที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด เช่น รัก โลภ โกรธ หลง หรือเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณดิบของคนเรานั่นเอง ซึ่งหากคนเรามีอิด เพียงอย่างเดียวก็จะไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตัวเองได้ ในขณะที่ ซุปเปอร์อีโก้จะเป็นพลังงานที่เกิดจากการเรียนรู้ค่านิยมต่างๆ เช่น ความดี ความชั่ว มโนธรรม เป็นต้น ซึ่งเป็นพลังในส่วนดีของจิตมนุษย์ที่จะคอยหักล้างกับพลังอิด ทั้งนี้ในระหว่างความสุดขั้วของอิด และซุปเปอร์อีโก้นั้นจะมี อีโก้อยู่ระหว่างกลางคอยทำหน้าที่ควบคุมไม่ให้คนเราแสดงสัญชาตญาณดิบออกมามากเกินไป แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้คนเราแสดงออกซึ่งมโนธรรมเพียงอย่างเดียวเช่นกัน

ปริศนาเจ้าหญิงอนาสตาเซีย


ปริศนาเจ้าหญิงอนาสตาเซีย


แกรนด์ ดัชเชส อนาสตาเซีย แห่งรัสเซีย (Grand Duchess Anastasia Nikolaevna of Russia) ทรงเป็นพระราชธิดาลำดับที่4ของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่2และพระนางอเล็กซานดราแห่งราชวงศ์โรมานอฟ (Romanov)แห่งรัสเซีย
พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่2และพระนางอเล็คซานดราทรงมีพระโอรสและพระราชธิดารวมทั้งสิ้น4พระองค์คือเจ้าหญิงโอลกา เจ้าหญิงมาเรีย เจ้าหญิงทาเทียนา เจ้าหญิงอนาสตาเซียและเจ้าชายอเล็กเซย์

เจ้าหญิงอนาสตาเซีย ถูกสันนิษฐานว่าทรงถูกประหารพร้อมพระบิดา พระมารดาและเชื้อพระวงศ์ เมื่อวันที่ 17กรกฎาคมค.ศ.1918 เมื่อพระนางมีพระชนมายุเพียง17ชันษา โดยกองกำลังตำรวจลับบอลเชวิคแต่ได้มีการเล่าขานว่า เจ้าหญิงอนาสตาเซีย เป็นพระธิดาองค์เดียวที่ทรงรอดมาได้จากการถูกสังหารของกองตำรวจลับ บอลเชวิค เพราะขณะที่ฝ่ายบอลเชวิคยิงประหารพระองค์กระสุนได้กระทบกับเครื่องประดับ ที่เป็นอัญมณีและกระเด้งหายไป แต่พระองค์ก็ทรงแกล้งสิ้นพระชนม์

เรื่องเล่าขานนี้ถือเป็นเรื่องที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ไม่กี่ปีต่อมาหลังจากการประหารได้มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าแกรนด์ดัชเชสองค์เล็ก ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ในที่สุด ใน ค.ศ. 1922 ก็ได้มีสตรีผู้หนึ่งนามว่า แอนนา แอนเดอร์สัน ประกาศตนว่าเป็นอนาสตาเซีย แต่ก็ได้มีการตรวจดีเอ็นเอใน ค.ศ. 1994และผลที่ได้คือ เธอมิใช่อนาสตาเซียตามที่อ้างแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี ผู้สนับสนุนหลายคนปฏิเสธผลการพิสูจน์นี้ อีกผู้หนึ่งที่อ้างว่าตนคืออนาสตาเซีย คือ ยูจิเนีย สมิธ ใน ค.ศ. 1986 ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มโต้เถียงเรื่องอนาสตาเซีย แต่คำกล่าวอ้างของเธอไม่สอดคล้องกับความจริง

ใน ค.ศ. 1991ได้มีการค้นพบพระศพ 2 พระศพ พระศพหนึ่งเป็นของ ซาเรวิช อเล็กเซย์ พระโอรสองค์เล็ก และอีกพระศพซึ่งได้รับการยืนยันจากนักวิชาการว่าคือพระศพของ อนาสตาเซีย ทั้ง 2 พระศพมิได้ถูกฝังร่วมกับพระบิดา พระมารดา และพระภคินี แต่ถูกเผาโดยกลุ่มคนที่ไม่ทราบแน่ชัดในป่าข้างๆ สุสาน

ใน ค.ศ. 2000คริสต์จักรนิกายรัสเซียนออร์โธดอกส์ได้ประกาศให้ พระเจ้าซาร์นิโคลัส พระนางอเล็กซานดรา แกรนด์ดัชเชสโอลกา แกรนด์ดัชเชสทาเทียนา แกรนด์ดัชเชสมาเรีย แกรนด์ดัชเชสอนาสตาเซีย และ ซาเรวิช อเล็กเซย์

วันแห่งพลังดวงอาทิตย์พิศวงที่ ปราสาทหินพนมรุ้ง



วันแห่งพลังดวงอาทิตย์พิศวงที่ ปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ (ททท.)

ในหนึ่งปีจะมีเพียง 4 วัน เท่านั้นที่ปราสาทหินพนมรุ้งจะมีตะวันขึ้นหรือตก ตรงลอดช่องประตูทั้ง 15 ช่อง ได้ตรงอย่างน่าพิศวง ปรากฏการณ์แบบนี้ชีวิตหนึ่งต้องไปดู

ภูมิปัญญาของคนโบราณนั้นน่าทึ่ง นอกจากสถาปัตยกรรมของ ปราสาทหินพนมรุ้ง อันยิ่งใหญ่และงดงามแล้ว ใครเลยจะรู้ว่า มีวันเวลาที่เขาคำนวณได้อย่างน่าพิศวง ตรงที่ในฤดูกาลต่างกัน เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น จะส่องแสงลอดช่องตรงกรอบประตู ทั้ง 15 บาน ที่เรียงกันได้อย่างเหลือเชื่อ ในเดือนเมษายนและกันยายน และจะเห็นมหัศจรรย์พระอาทิตย์ตกลอดช่องกรอบประตู ในเดือนมีนาคมและเดือนตุลาคม
ช่วงเวลาที่ดีที่สุด : ราว 06.00 น.
ฤดูกาลที่ดีที่สุด : วันพระอาทิตย์ขึ้น ตรงกรอบประตูในฤดูร้อน
จุดชมวิวที่ดีที่สุด : ด้านหน้ากรอบประตูด้านทิศตะวันตก
เส้นทางการเดินทาง

จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 และ 2 จนถึง อ.สีคิ้ว เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 24 ผ่าน อ.นางรอง แยกขวาทางหลวง หมายเลข 2117 สู่ อ.เฉลิมพระเกียรติ และปราสาทหินพนมรุ้ง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อที่ ททท.สำนักงานสุรินทร์ โทร. 044 514 447-8

สทศ.ร้อน เด็กโวยข้อสอบ O-net เหมาะสมแล้วหรือ?!?!


นับเป็นการลุกฮือในภาคการศึกษาที่สร้างแรงกระเพื่อมให้สังคมหันมาสนใจปัญหาของน้อง ๆ วัยเรียน และระบบการศึกษาไทยอีกครั้ง เมื่อประเด็นข้อสอบ O-net ที่ทางสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ) ใช้สอบกับนักเรียน ม.6 ครั้งล่าสุด ระหว่างวันที่ 20-21 กุมภาพันธ์ 2553 มีเด็ก ๆ ที่ผ่านการสอบออกมาโวยกระหึ่มตามโลกไซเบอร์ และนำไปสู่การตีแผ่ผ่านสื่อโทรทัศน์ ในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 เนื่องจากเด็ก ๆ ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า ข้อสอบ O-net ครั้งนี้เป็นรูปแบบใหม่ที่ไม่มีความเหมาะสม ทั้งยังยากเกินขอบเขตอีกด้วย

ยากอย่างไร ไม่เหมาะสมอย่างไร สงสัยไหมคะ ถ้าอย่างนั้น ลองมาดูตัวอย่างของข้อสอบบางข้อกันค่ะ......

ตัวอย่าง : โจทย์วิชาสุขศึกษาและพลศึกษา (จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว)

1. นางสาวนิดเป็นคนสวยมาก จึงมีชายหนุ่มมาติดพันเธอหลายคน เธอชอบไปเที่ยวกลางคืน ต่อมานางสาวนิดท้องไม่มีพ่อ อยากทราบว่าทำไมนางสาวนิดถึงมีเพื่อนชายมาติดพัน

1. นิดสวยมาก

2. นิดมีอัธยาศัยดี

3. นิดปฏิเสธไม่เป็น

4. นิดชอบเที่ยวกลางคืน

2. ข้อใดเป็นการแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียนได้ดีที่สุด

1. หยุดเรียนไประยะหนึ่งเพื่อคลอดลูก

2. ทำแท้งเพราะไม่สามารถเลี้ยงลูกได้

3. ลาออกจากโรงเรียนแล้วหางานทำเพื่อลูก

4. แจ้งความเพื่อหาผู้รับผิดชอบ

3. นักเรียนอยากคบเพื่อนแบบใด

1. เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

2. เอาใจเขามาใส่ใจเรา

3. อัธยาศัยดี

4. มีน้ำใจ

จากตัวอย่างข้อสอบที่ยกมาทั้ง 3 ข้อ จะเห็นได้ว่า คำถามที่ใช้เป็นคำถามปลายเปิด และคำตอบก็มีความเป็นไปได้เกือบทุกข้อ เช่น ในข้อ 3 เพื่อนที่อยากคบเป็นคนแบบใด เป็นการสอบถามทัศนคติในการคบเพื่อน จึงไม่แปลกที่ทุกคนจะตอบไม่เหมือนกัน เพราะแต่ละคนก็อาจจะอยากมีเพื่อนในแบบที่ต่าง ๆ กันออกไป ซึ่งทุกคำตอบย่อมไม่ผิด(จริงไหม) และแม้คำถามบางข้อจะมีคำตอบอยู่ในตัว แต่การใช้หลักวัดจากตรรกะและเหตุผลต่าง ๆ ก็ยังไม่สมเหตุสมผลและค่อนข้างกำกวม (อันนี้คือประเด็นที่เด็ก ๆ ทำข้อสอบร้องเรียน)

นอกจากความงงงวยในข้อสอบ O-net หลาย ๆ ข้อ ยังมีประเด็นการให้คะแนนที่ดูจะเป็นปัญหา โดยนักเรียนมัธยมปลายหลายเสียงบอกว่า เป็นการใจร้ายเกินไปกับเด็กที่ไม่ใช่หัวกะทิ เพราะมีข้อสอบบางตอน บางวิชา ที่ต้องเลือกคำตอบให้ถูกต้องทุกข้อย่อยในแต่ละข้อ เช่น ต้องเลือกคำตอบให้ถูกสองหรือสามตัวเลือกขึ้นไป จึงจะได้คะแนน ซึ่งหมายความว่า หากคุณรู้คำตอบแค่ครึ่งเดียว แล้วข้อย่อยอื่น ๆ ตอบผิด คะแนนในข้อนั้น ๆ จะเป็นศูนย์ทันที เท่ากับว่า เด็กเก่ง หรือเด็กที่รู้จริง ๆ เท่านั้นที่จะได้คะแนนไป

แต่สำหรับเด็กที่หัวกลาง ๆ กับกลุ่มเด็กที่ไม่เก่งเลย ผลจะออกมาไม่ต่างกัน กล่าวคือ ในกลุ่มเด็กหัวกลาง ๆ ถ้าพวกเขามั่นใจหรือรู้คำตอบในคำถามข้อนั้นเพียง 2 ข้อ แต่คำถามบังคับให้ต้องตอบให้ถูกทั้งหมด 4 ข้อย่อย อีก 2 ข้อที่ไม่มั่นใจ ไม่รู้ และตอบผิด คะแนนในข้อนั้น ๆ จะเป็นศูนย์ ส่วนกลุ่มที่ไม่รู้คำตอบเลย ถ้าเดาคำตอบทั้ง 4 ข้อ แล้วมีผิดบางส่วน หรือผิดหมด นั่นก็ศูนย์คะแนนเช่นกัน จึงเห็นได้ชัดว่า ระบบการให้คะแนนแบบนี้จะคัดเด็กที่รู้จริง ๆ เท่านั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์ อุไรวรรณ ศิวะกุล หรือ อาจารย์อุ๊ เจ้าของโรงเรียนกวดวิชาชื่อดัง ได้แสดงความเห็นไว้ว่า.... จริง ๆ แล้ว ถ้าเด็กถูกครึ่งหนึ่ง ทำไมคุณไม่ให้คะแนน ก็เด็กคนนี้เก่ง 50% แล้วคุณจะให้เค้าเก่ง 100% ได้ยังไง ในโรงเรียนยังมีเลยว่าคนนี้ได้ 50% คนนี้ได้ 100% ทำไมล่ะ ทุกคนต้องเก่ง100% เลยเหรอ แล้วปีหน้าสอบใหม่ก็ไม่ได้นะ เพราะสอบโอเน็ตให้แค่ครั้งเดียว

"ยังมีประเด็น เด็กที่สอบโอเน็ตปีนี้กับเด็กปีที่แล้ว เด็กที่สอบปีที่แล้วจะได้เปรียบ เพราะข้อสอบโอเน็ตที่ผ่านมาเป็นแบบธรรมดา คือ ถูกข้อได้ข้อ ถูกสองได้สองคะแนน แต่ข้อสอบใหม่ ถูกไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ได้คะแนน ทำให้คะแนนเด็กรุ่นใหม่ลู่ลงมา ปัญหาจึงอยู่ที่ถ้าเด็กกลุ่มเก่า มายื่นแอดมิชชั่นพร้อมเด็กใหม่ เด็กรุ่นนี้จะเสียเปรียบแล้ว" อาจารย์อุ๊ กล่าว

อาจารย์อุ๊ กล่าวต่อว่า นอกจากปัญหาดังกล่าวแล้ว ยังมีเรื่องของการออกข้อสอบผิด ซึ่งคนที่ออกข้อสอบแม้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนมีสิทธิ์ผิดได้ และทั้งครู-นักเรียนก็สามารถรับได้ ถ้ามีการแก้ไข แต่มันก็ยังเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ทำไมต้องให้ผิด เพราะนี่มันเป็นข้อสอบระดับชาติ

"จริง ๆ คนที่เค้าทำระบบแอดมิชชั่น เราก็มองว่าเค้าตั้งใจนะ ตั้งใจมาก ๆ แต่ทำไมไม่เก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ และทำไมไม่ทำการวิจัยอย่างชัดเจนก่อนว่ามันดี เป็นที่ยอมรับ แล้วถ้าจะออกข้อสอบแบบนี้ ทำไมไม่ให้โรงเรียนได้ฝึกเด็กก่อน และให้เด็กทั่วประเทศได้ข้อมูลที่เหมือนกัน และผ่านการวิจัย เพราะถ้าไม่ผ่านการวิจัย แล้วแก้ระบบเรื่อย ๆ เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย ๆ จะทำให้เด็กคือหนูทดลองของระบบการศึกษาไปเรื่อย ๆ ซึ่งน่าจะทำให้มันนิ่งก่อน ไม่ใช่เปลี่ยนรายวันแบบนี้" อาจารย์อุ๊ กล่าว

ด้าน รศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ หรือ สทศ. กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า เป้าหมายของโอเน็ตที่ตั้งขึ้นมาเพื่อวัดคุณภาพการศึกษาของแต่ละโรงเรียน ถ้าหากพบว่าโรงเรียนไหนด้อย ก็จะได้มีการปรับการเรียนการสอนไปในทิศทางที่ควรจะเป็น ซึ่งเด็ก ๆ จะได้รับความรู้มากขึ้น พร้อมทั้งยืนยันว่าข้อสอบโอเน็ตออกตามหลักสูตรกลางที่ทุกโรงเรียนใช้สอน ส่วนประเด็นที่เฉลยข้อสอบไม่ถูก ก็จะมีการตอบจดหมายที่ร้องเรียนมาโดยอธิบายกลับไปให้นักเรียนที่สงสัยทุกราย

และในประเด็นที่หลายคนมองว่า มาตรฐานข้อสอบแต่ละปีมีความยากง่ายไม่เท่ากันนั้น อาจารย์อุทุมพร กล่าวว่า ที่ผ่านมา ก่อนจะมีการจัดสอบโอเน็ตในแต่ละครั้ง ทาง สทศ. จะทำผังการออกข้อสอบว่าข้อสอบแต่ละเนื้อหาจะออกกี่ข้อ และทำขึ้นเว็บด้วย เพื่อให้เด็ก ๆ รู้ว่าข้อสอบจะออกอะไร ทิศทางไหน และหลังจากสอบโอเน็ตทั้ง 3 ครั้งเสร็จแล้วก็จะมีการวิเคราะห์ว่าความยากง่ายแต่ละครั้งต่างกันไหม ซึ่งผลออกมาคือ มันก็ไม่ต่าง

ส่วนเรื่องรูปแบบของข้อสอบโอเน็ตที่กำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้นั้น ผอ.สทศ. ก็แจงว่า...

"ที่ผ่านมาประเทศไทยใช้ข้อสอบปรนัยแบบ 4 ตัวเลือก โดยให้ลูกคำตอบที่ถูกข้อเดียว จะเห็นได้ว่าเด็กอาจมีโอกาสเดาถูก 1 ใน 4 แสดงว่าข้อสอบเราไม่ได้วัดได้จริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นการที่จะวัดได้จริง ก็จะต้องเปลี่ยนรูปแบบ การสอบครั้งนี้เราจึงเพิ่มตัวเลือกให้มากขึ้นเป็นสิบ ๆ ตัวเลือก แล้วอีกเรื่องคือเราพบปัญหาเด็กไทย เด็กไทยไม่ค่อยอ่านหนังสือ เราก็เพิ่มความยาวโจทย์ด้วย จากบรรทัดเดียวเป็น 3-4 บรรทัด เราก็เปลี่ยนแค่นี้ ก็งงว่าประเทศไทยเราไม่รู้เหรอว่าข้อสอบมีตั้ง 80 แบบ พอ สทศ.เปลี่ยนรูปแบบมา ดันกลายเป็นเรื่องใหม่ ทั้งที่มันมีมาตั้งนานแล้ว เราปรับเพื่อให้คะแนนเป็นคะแนนที่สะท้อนความสามารถจริงของเด็ก มากกว่าที่จะเป็นคะแนนมั่ว ๆ"

พร้อมกันนี้ ผอ.สทศ. ยังบอกด้วยว่า การสอบโอเน็ตชั้น ม.6 ปีหน้า วิชาไหนที่ข้อสอบเป็นรูปแบบเดียว จะปรับเพิ่มเป็นสองรูปแบบ ส่วนวิชาไหนที่ข้อสอบมากกว่า 1 รูปแบบอยู่แล้ว ก็จะคงรูปแบบเหล่านั้นและคงสัดส่วนเปอร์เซ็นต์นั้นต่อไป

ขณะเดียวกัน ก็มีประเด็นข้อร้องเรียนของผู้ปกครองนักเรียน ป.6 ที่เข้าสอบโอเน็ต โดยระบุว่า ข้อสอบโอเน็ตวิชาสุขศึกษาที่ถามเรื่องเพศศึกษาครั้งนี้ล่อแหลม ถามถึงสัญลักษณ์ของห้องน้ำชายและห้องน้ำหญิง ซึ่งเรื่องนี้ รศ.ดร.อุทุมพร ชี้แจงว่า ไม่คิดว่าล่อแหลม และจากการติดตามการแสดงความคิดเห็นของเด็กที่เข้าสอบโอเน็ตชั้น ป.6, ม.3 และ ม.6 บนเว็บไซต์ต่าง ๆ พบว่า เด็กแสดงความเห็นเกี่ยวกับข้อสอบว่า ยากเกินไป ไม่เหมาะสม หรือไม่สมเหตุสมผล ซึ่ง สทศ.ได้เก็บข้อมูลและนำไปตรวจสอบข้อเท็จจริงจากผู้ออกข้อสอบแล้ว พบว่าข้อสอบทั้งหมดมีเนื้อหาได้มาตรฐานตามที่กำหนด

อย่างไรก็ตาม สทศ.ยอมรับว่า กรณีข้อสอบวิชาภาษาไทย ระดับชั้น ป.6 มีคำถามที่ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง เช่น เรื่องการเดินทางในกรุงเทพฯ ทำให้เด็กนักเรียนต่างจังหวัดตอบไม่ได้ ดังนั้น สทศ.จึงตัดสินใจให้คะแนนฟรี จำนวน 4 ข้อ รวม 16 คะแนน

รศ.ดร.อุทุมพร กล่าวอีกว่า การที่ สทศ.ออกข้อสอบที่หลากหลายในครั้งนี้ ครูควรนำไปใช้สอบเด็ก เด็กจะได้คุ้นเคยและฝึกคิดวิเคราะห์ ไม่ใช่คุ้นแต่ข้อสอบท่องจำ อย่างไรก็ตาม จากการที่มีการนำข้อสอบโอเน็ตมาเผยแพร่ทางสื่อ รวมถึงมีผู้ปกครองบางคนซีร็อกซ์ข้อสอบโอเน็ตชั้น ป.6 มาพูดคุยซักถามกับตนนั้น ถือว่าขัดระเบียบ เพราะไม่สามารถนำข้อสอบออกนอกห้องสอบได้ ดังนั้น นับจากนี้บนหัวกระดาษข้อสอบทุกวิชาจะเขียนข้อความชัดเจนว่า "ห้ามผู้ใดนำข้อสอบออกไปเผยแพร่ทั้งในที่ลับหรือแจ้ง ก่อนที่ สทศ.จะประกาศผล และห้ามผู้คุมสอบอ่านข้อสอบให้เด็กโดยเด็ดขาดด้วย มิเช่นนั้นถือว่ามีความผิดตามมาตรา..." ทั้งนี้ จะเริ่มนำมาใช้เป็นครั้งแรกกับข้อสอบการวัดความถนัดทั่วไป (GAT) และการวัดความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ (PAT) ในเดือน ก.ค.2553 ที่จะถึงนี้

ข้อคิดดี ๆ สะท้อนความทุกข์-สุข ในชีวิต


ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดแรง อาจจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของบทละครชีวิตที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์แต่ละคน แต่เพียงแค่เศษเสี้ยวเดียว หลายคนกลับจำเศษเสี้ยวนี้ไปจนวันตาย ขณะที่ความสุข ความดีใจ ความหวัง อาจเกิดบ่อยครั้งในชีวิตของคนหลาย ๆ คน แต่มันกลับไม่ได้ถูกทำให้จำได้ง่าย ๆ เหมือนกับความผิดหวัง บางทีอาจจะผ่านมา แล้วก็ผ่านไปก็เป็นได้

แต่ถ้าหากเราสามารถปรับเปลี่ยนความทรงจำ ให้จดจำสิ่งที่ดี ๆ มีความสุข และลืมเศษเสี้ยวที่เลวร้ายของชีวิตออกไปได้ ชีวิตของเราคงเต็มไปด้วยความสุขและความหวังอย่างแน่นอน

และวันนี้เราก็มีข้อคิดดี ๆ เกี่ยวกับความสุขและความทุกข์....เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่คุณกะวาก๋า รวบรวมไว้มาฝากกัน

คล้ายว่าเข้าใจ...

ความสุขและความทุกข์

เรามักจะเหมารวมว่าคนรวยคือคนที่มีความสุข...

เปล่า...ผมไม่ได้มีปัญหากับความร่ำรวย แต่ผมไม่เชื่อว่าการมีเงินมาก ๆ จะเป็นคำตอบสุดท้ายของการมีความสุขในชีวิต

ผมรู้จักคนรวยมากมายที่มีความสุข และคนรวยมากกว่าที่ไร้สุข ครอบครัวปริร้าว มีปัญหาด้านสุขภาพ เครียด ไม่มีความสุข ยิ่งรวย ยิ่งเห็นแก่ตัว ฉกฉวยทุกสิ่งที่ไม่ใช่ของ ๆ ตัวเอง ความสุขในความหมายของการกอบโกยอย่างไม่สิ้นสุด ไม่ได้เป็นความรวยเพื่อการแบ่งปันแต่อย่างใด

ผมเพิ่งรู้สึกเข้าใจความหมายของความสุขและความทุกข์ เมื่อไม่นานมานี้เอง ใจกำลังเกิดทุกข์ ทุกข์ที่ใจสร้างขึ้น ผมไปหยุดยืนมองดูภูเขาแห่งหนึ่งที่เมืองจีน ขุนเขาที่สลับซับซ้อนทอดตัวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ผมบอกคุณไม่ได้ว่าในวินาทีนั้นผมรู้สึกอย่างไร และหลังจากกลับมาจากการท่องเที่ยวคราวนั้น ผมมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น และโดยต่อเนื่องกัน

ความทุกข์ในใจของผมลดน้อยถอยลงอย่างรู้สึกได้ ผมคงบอกคุณไม่ได้หรอกว่าผมไปเจออะไรในวันนั้น ที่ภูเขาลูกนั้น ที่ประเทศนั้น...ยกเว้นว่าคุณจะหามันเจอ
มนุษย์เราเรียนรู้ทุกอย่าง ตั้งแต่เชื้อโรคไปถึงดวงดาว แต่สิ่งที่มนุษย์ไม่เคยส่องดู และทำความรู้จักน้อยที่สุด ก็คือ ใจของตัวเอง...

เราไม่รู้ว่าใจเรามีกระบวนการทำงานอย่างไร ทำไมเราจึงมีความทุกข์ แล้วทำอย่างไรเราจึงจะไม่ทุกข์ เราลืมไปว่าทุกอย่างที่เราหามา ก็เพราะต้องการให้ใจมีความสุข

ความสุข-ทุกข์ มีขึ้น และหายไปที่ใจ แต่เราไม่เคยสะดุ้งตื่นมาค้นพบความจริงของใจว่า ใจเรานั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่ปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา เราจึงไม่สามารถอยู่เฉย ๆ กับตัวเองได้นาน ต้อง คิด กิน ดู พูด ฟัง อยู่ตลอดเวลา ด้วยความหวังว่าเมื่อได้ทำสิ่งนั้นแล้ว มันจะพ้นสภาพจากความปั่นป่วนนี้

...แต่ไม่ว่าเราจะทำอะไรมากแค่ไหน "ความสุขที่แท้จริง" ก็ไม่เคยอยู่กับเรา
ผมจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวผมให้ฟัง...มันเกิดขึ้นหลังจากผมแต่งงานไม่นานนัก เราต่างก็มีปัญหากันทุกรูปแบบ ผมชักเอือมระอากับมัน เลยตัดสินใจว่า....จะยุติมันซะให้หมด....

เช้ามืดวันหนึ่ง ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ผมหยิบเชือกมาไว้ในรถ ผมตั้งใจไว้แล้วว่าอยากจะฆ่าตัวตาย ผมจึงเดินทางไปเมียเน่ห์ (ชื่อเมืองในประเทศอิหร่าน)

เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 1960.... ผมไปถึงสวนต้นหม่อน ผมจอดรถที่นั่น ตอนนั้นยังมืดอยู่ ผมโยนเชือกขึ้นไปบนต้นไม้ แต่มันเกี่ยวไม่อยู่สักที ผมลองหนหนึ่ง, หนสอง...แต่ไร้ผล เพราะฉะนั้นผมเลยปีนขึ้นต้นไป แล้วมัดเชือกจนแน่น ตอนนั้นผมรู้สึกว่า มีอะไรนุ่ม ๆ ใต้ฝ่ามือผม

ลูกหม่อนนั่นเอง ลูกหม่อนหวานฉ่ำ ผมกินไปลูกหนึ่ง มันหวานฉ่ำจริง ๆ ต่อมาก็ลูกที่สอง แล้วก็ลูกที่สาม ทันใดนั้นผมก็เห็นพระอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นเหนือยอดเขา ทั้งพระอาทิตย์ ทั้งทิวทัศน์ ทั้งพฤกษชาติ ช่างงดงามอะไรอย่างนี้....!!!!

จู่ ๆ ..ผมก็ได้ยินเสียงเด็ก ๆ มุ่งหน้าไปโรงเรียนกัน พวกแกหยุดดูผม พวกแกขอให้ผมเขย่าต้นหม่อนให้... ลูกหม่อนร่วงลงไป แล้วพวกเด็ก ๆ ก็เก็บกิน ผมรู้สึกเป็นสุขมาก ๆ เลย.....เสร็จแล้วผมเลยเก็บลูกหม่อนเอากลับบ้าน....เมียผมยังหลับอยู่....พอเธอตื่น เธอเลยกินลูกหม่อนเข้าไปเหมือนกัน แถมเธอยังชอบมันซะด้วยสิ

ผมจากบ้านไปฆ่าตัวตาย แต่ดันกลับมาพร้อมลูกหม่อน ลูกหม่อนช่วยชีวิตผมไว้

ลูกหม่อนช่วยชีวิตผมไว้

ประเทศเยอรมัน


ลักษณะภูมิประเทศและที่ตั้ง



สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี หรือเรียกสั้นๆ ว่าเยอรมันหรือเยอรมนี ตั้งอยู่ใจกลางทวีปยุโรป ล้อมรอบด้วยประเทศเพื่อนบ้านถึง 9 ประเทศ คือเดนมาร์กอยู่ทางเหนือเนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์กและฝรั่งเศสอยู่ทางตะวันตก สวิตเซอร์แลนด์และออสเตรียอยู่ทางใต้ สาธารณรัฐเชคและโปแลนด์อยู่ทางตะวันออก นับเป็นประเทศยุโรปที่มีจำนวนเพื่อนบ้านมากที่สุด

นับตั้งแต่มีการรวมประเทศในปี ค.ศ. 1990 เยอรมันกลายเป็นประเทศสำคัญที่ไม่เพียงแต่เป็นตัวเชื่อมยุโรปตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน แต่ยังเชื่อมประเทศทางตอนเหนือ คือ กลุ่มสแกนดิเนเวียกับกลุ่มประเทศทางตอนใต้ ซึ่งอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอีกด้วย เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป เยอรมันจึงเป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างประเทศในยุโรปตอนกลางและยุโรปตะวันออก ยิ่งกว่านั้นการที่มีที่ตั้งอยู่ใจกลางทวีปยุโรป ยังทำให้เยอรมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการท่องเที่ยวแถบนี้

เยอรมันมีพื้นที่ประมาณ 357,000 ตารางกิโลเมตร พรมแดนทางตอนเหนือของประเทศติดกับฝั่งทะเลเหนือ (North Sea) และทะเลบัลติค ทางตอนใต้จรดเทือกเขาแอลป์ในบาวาเรียน ระยะทางส่วนที่ยาวที่สุดจากเหนือจรดใต้ประมาณ 876 กิโลเมตร จากตะวันตกไปตะวันออกประมาณ 640 กิโลเมตร ภูมิประเทศของเยอรมันมีทิวทัศน์งดงามแตกต่างกันไปหลายรูปแบบ ทั้งเทือกเขาสูงต่ำสลับกับที่ราบสูงและพื้นที่ลดหลั่นเป็นชั้น เนินเขาทะเลสาปตลอดจนที่ราบโล่งกว้างใหญ่ ทางตอนเหนือเป็นแนวชายฝั่งทะเลเต็มไปด้วยเกาะแก่ง ทะเลสาบ ท้องทุ่งที่มีพุ่มไม้ปกคลุม เนินทราย และบริเวณปากแม่น้ำที่สวยงาม ส่วนทางตอนใต้แถบที่ราบสูงชวาเบียน-บาวา เรียงเต็มไปด้วยเนินเขาและทะเลสาปขนาดใหญ่ มีบริเวณครอบคลุมถึงเทือกเขาแอลป์ในส่วนของเยอรมัน

ลักษณะภูมิอากาศและฤดูกาล

ลักษณะอากาศของเยอรมันเป็นแบบค่อนข้างไปทางหนาวเย็น มี 4 ฤดู คือ

ฤดูร้อน (มิถุนายน – สิงหาคม) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 18 – 20 องศาเซลเซียส แต่อาจจะสูงขึ้นถึง 30 องศา หรือสูงกว่า
ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – พฤศจิกายน) อากาศจะเย็นลงและมีฝน ใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองบ้าง สีแดงบ้างดูสวยงาม
ฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์) อุณหภูมิจะอยู่ระหว่าง 5 องศา ถึง ลบ 5 องศาเซลเซียส โดยจะมีหิมะตกบ้าง
ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม – พฤษภาคม) อากาศจะอุ่นขึ้น ดอกไม้เริ่มบานและต้นไม้จะแตกใบอ่อน นำความเขียวขจีกลับมาอีกครั้ง

เวลา
การแบ่งเวลาของเยอรมันเป็นแบบยุโรปตอนกลาง ซึ่งเวลาจะช้ากว่าประเทศไทย 6 ชม. ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม ส่วนในช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือนเมษายนถึงตุลาคม เวลาจะช้ากว่าประเทศไทย 5 ชม.

ประชากร
เยอรมันมีประชากรประมาณ 82 ล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับสองรองจากรัสเซีย ในจำนวนนี้ 7.3 ล้านคน เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานอพยพมาจากตุรกี ยุโรปตอนใต้และยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ โดยเริ่มเข้ามาตั้งแต่ช่วงหลัง ค.ศ.1960 ซึ่งนับมาถึงปัจจุบันก็เป็นรุ่นที่ 2 และ 3 แล้ว

ชาวเยอรมันสืบเชื้อสายมาจากเผ่าพันธุ์เยอรมันดั้งเดิมหลายเผ่า เช่น เผ่าซัคเซน และบาวาเรียน ซึ่งปัจจุบันเราจะไม่เห็นความแตกต่างนี้แล้ว แต่ยังมีคนเยอรมันบางกลุ่มที่ยังรักษาขนบธรรมเนียมและพูดภาษาเผ่าดั้งเดิมของตน โดยใช้เป็นภาษาถิ่นต่างๆ กันไป การหลั่งไหลเข้ามาของชาวต่างชาติก่อให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมในเยอรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามเมืองใหญ่ๆ

เยอรมันเป็นสังคมเปิด กล่าวคือ ยอมรับผู้คนซึ่งอพยพเข้ามาหาที่หลบภัยและผู้อพยพหนีสงคราม การให้มีการเปิดเสรีสำหรับผู้ใช้แรงงาน การเป็นกลุ่มผู้นำ ต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพและเลือกถิ่นที่อยู่ภายในสหภาพยุโรป

ศาสนา
ชาวเยอรมันกว่า 55 ล้านคนนับถือศาสนาคริสต์นิกายต่างๆ โดยมีนิกายโปแตสแตนท์ มีผู้นับถือประมาณ 27.6 ล้านคน นิกายโรมันคาทอลิก 27.5 ล้านคน เยอรมันไม่มีศาสนาประจำชาติ การมีแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงาน ทำให้มีชุมชนที่นับถือศาสนาอื่นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาอิสลาม ซึ่งมีผู้นับถือศาสนาอิสลามในเยอรมันประมาณ 2.6 ล้านคน จาก 41 ชาติทั่วโลก นอกจากนั้นก็มีผู้นับถือศาสนายิว ฮินดู และพุทธ

ระบบการเมือง
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อระบบเผด็จการนาซีล่มสลาย มีการแบ่งเยอรมันออกเป็น 2 ประเทศในปี ค.ศ.1949 คือ เยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก (ซึ่งประเทศทั้ง 2 ได้รวมเป็นเอกภาพเมื่อปี ค.ศ. 1990) ประกอบด้วยประธานาธิบดีสหพันธ์ (President) มีรัฐสภาซึ่งแบ่งเป็น สภาสูง (Bundestag) และสภาล่าง (Bundesrat) หัวหน้ารัฐบาลคือนายกรัฐมนตรี (Chancellor) สิ่งที่น่าภาคภูมิใจในรัฐธรรมนูญเยอรมันก็คือ การระบุความสำคัญของสิทธิพื้นฐาน คนเยอรมันนับถือในเกียรติของความเป็นมนุษย์ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเยอรมันไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดก็ตามสามารถเรียกร้องสิทธิพื้นฐานตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เช่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในทรัพย์สิน และเสรีภาพทางหนังสือพิมพ์ การเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชนแขนงต่างๆ จะทำได้โดยไม่มีการเซ็นเซอร์จากเจ้าหน้าที่ของรัฐ

เยอรมันเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่วมก่อตั้งสหภาพยุโรปและการออกเงินตราของสหภาพยุโรป และเป็นสมาชิกขององค์กรนาโต้ (NATO) ในปี ค.ศ. 1990 เยอรมันตะวันออกซึ่งมีชื่อเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน และปกครองแบบสังคมนิยมได้รวมประเทศเข้ากับเยอรมันตะวันตกกลายเป็น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันในปัจจุบัน

การปกครอง
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประกอบด้วย 16 รัฐ คือ บาเดน-เวือร์เทมแบร์ก บาวาเรีย เบอร์ลิน บรันเดนบวร์ก เบรเมน ฮัมบวร์ก เฮลเซน นีเดอร์ซัคเซน เมคเคลนบวร์ก-ฟอร์พอมเมิร์น นอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลน ไรน์ลันฟัลส์ ซาร์ลันด์ ซัคเซน ซัคเซน-อันฮัลท์ ชเลสวิก-โฮลชไตน์ และเธือริงเงน แต่ละรัฐมีรัฐธรรมนูญเป็นของตนเอง โดยสภาผู้แทนแห่งรัฐมาจากการได้รับเลือกตั้งของสมาชิกพรรคต่างๆ ในรัฐนั้นๆ และสามารถออกกฎหมายใช้เองภายในรัฐได้ เช่น ระบบการศึกษารวมถึงระดับอุดมศึกษาอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของแต่ละรัฐ

เมืองที่น่ารู้จัก
คนเยอรมัน 26 ล้านคนหรือประมาณ 1 ใน 3 ของประชากร อาศัยอยู่ใน 86 เมืองใหญ่ๆ ซึ่งประชากรกว่า 100,000 คนขึ้นไป ศูนย์กลางในทางเศรษฐกิจวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมจึงไม่ได้จำกัดอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งเพียงแห่งเดียว โรงภาพยนตร์ โรงละคร โรงแสดงคอนเสิร์ต พิพิธภัณฑ์ สถาบันศิลปะ ห้องสมุด มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ศูนย์การค้า จะมีหลากหลายกระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ และแต่ละเมืองจะมีลักษณะเฉพาะของตน

กรุงเบอร์ลิน(Berlin) เมืองหลวงของประเทศตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 เป็นเมืองใหญ่สุด มีประชากร 3.5 ล้านคน เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรม มีโรงละคร โรงแสดงคอนเสิร์ตวงดนตรีขนาดใหญ่ที่เรียกว่า วงออเคสตร้า พิพิธภัณฑ์ และเวทีแสดงศิลปะและดนตรีที่มีชื่อเสียง มีสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัย 11 แห่ง วิทยาลัยศิลปะและดนตรีอีก 6 แห่ง นับเป็นเมืองที่มีสถาบันอุดมศึกษามากที่สุดในเยอรมัน

ฮัมบวร์ก(Hamburg) เป็นเมืองท่าเรือสำคัญ มีประชากร 1.7 ล้านคน 15 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเป็นชาวต่างชาติ เมืองนี้จึงมีบรรยากาศของความเป็นสากล นอกจากนี้ยังเป็นเมืองศูนย์กลางการสื่อสารมวลชน ผลิตหนังสือพิมพ์และนิตยสาร 17 ใน 24 ฉบับของเยอรมันที่มียอดจำหน่ายกว่า 1 ล้าน มีมหาวิทยาลัย 3 แห่ง และสถาบันการศึกษาระดับสูงอีกหลายสถาบัน

มิวนิค(München) เมืองมิวนิคเป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย มีประชากรประมาณ 1.3 ล้านคน เป็นเมืองที่มีหอศิลปะ สวนสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง งานมหกรรมใหญ่ประจำปีที่ทั่วโลกรู้จักคือ Oktoberfest เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่มีชื่อเสียง เช่น BMW และ ซีเมนส์ บริษัทที่ผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง และสถาบันวิจัยอีกหลายแห่ง มีมหาวิทยาลัย 3 แห่ง และสถาบันการศึกษาระดับสูงอีก 8 แห่ง

แฟรงค์เฟิร์ต ไมน์ (Frankfurt) ประตูสู่ยุโรป เป็นศูนย์กลางท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมัน มีประชากร 650,000 คน เป็นแหล่งการเงินนานาชาติและตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารกลางของยุโรป สำนักงานใหญ่ของธนาคารหลายแห่งอยู่ที่เมืองนี้ รวมทั้งเป็นที่ตั้งของหอสมุดแห่งชาติและงานแสดงหนังสือนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก

โคโลญจ์ เมืองนี้ประกอบด้วยโบสถ์สวยงามมากมาย มีประชากรประมาณ 1,000,000 คน เป็นเมืองเก่ากว่า 2,000 ปี และยังเป็นศูนย์กลางศิลปะ ดนตรี ร่วมสมัย มหาวิทยาลัยโคโลญจ์ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1388 ปัจจุบันมีนักศึกษามหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาระดับสูงอื่น ๆ อยู่เกือบแสนคน

ไลป์ซิก(Leipzig) มีประชากรประมาณ 470,000 คน เคยเป็นเมืองสำคัญสำหรับจัดงานแสดงสินค้ามาหลายร้อยปีแล้ว เมื่อมีการรวมประเทศ เมืองนี้จึงกลับมามีบทบาทสำคัญทางการค้ากับทั่วโลกมากขึ้น มหาวิทยาลัยของเมืองนี้ ก่อตั้งมากว่า 600 ปี และเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง

บอนน์ (Bonn) มีประชากรประมาณ 300,000 คน เคยเป็นเมืองหลวงของเยอรมันตะวันตก แม้ว่าหลังการร่วมประเทศ เมื่อปี ค.ศ.1990 เบอร์ลินจะกลายเป็นเมืองหลวงของประเทศ แต่สถานที่ราชการหลายแห่งยังคงอยู่ที่เมืองนี้ รวมทั้งองค์กร และสถาบันต่าง ๆ เช่น องค์กรแลกเปลี่ยนทางวิชาการ (German Academic Exchange Service) และสภาวิจัยของเยอรมัน (DFG) มหาวิทยาลัยของเมืองนี้มีนักศึกษาประมาณ 40,000 คน

เมืองที่น่าสนใจอื่นๆ มีอีกหลายเมือง เช่น ฮันโนเวอร์ (Hannover) ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการแสดงสินค้าอุตสาหกรรม, สตุ๊ทการ์ท (Stuttgart) ซึ่งมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และเมืองไวมาร์ (Weimar) ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

การศึกษาต่อในประเทศเยอรมัน

ระบบการศึกษา
ในปัจจุบันมีจำนวนนักเรียนนักศึกษาทั้งหมด ประมาณ 12.6 ล้านคน ที่ประเทศมีครูอาจารย์ทั้งหมด ประมาณ 780,000 คน ตามที่โรงเรียนสถานศึกษากว่า 52,000 แห่งในเยอรมัน

การศึกษาภาคบังคับเริ่มตั้งแต่อายุ 6 – 18 ปี รวมการศึกษาภาคบังคับทั้งหมด 12 ปี ซึ่งนักเรียนจำเป็นต้องเรียนหลักสูตรภาคบังคับแบบเต็มเวลานี้อย่างน้อย 9 ปี (ในบางรัฐ 10 ปี) หลังจากนั้นนักเรียนสามารถเลือกเรียนหลักสูตรสายอาชีพหรือฝึกงาน ซึ่งเป็นการเรียนแบบไม่เต็มเวลาได้ โรงเรียนเอกชนในเยอรมันมีไม่กี่แห่งที่ดำเนินการโดยนักสอนศาสนา

โรงเรียนส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาล เรียนฟรีไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน หนังสือและตำราเรียนมักมีให้นักเรียนยืมไม่ต้องซื้อ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ของส่วนตัวก็จะให้ผู้ปกครองบริจาคเงินตามกำลังทรัพย์ที่มี เมื่อนักเรียนอายุ 6 ปี จะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาเป็นเวลา 4 ปี หลังจากจบประถมศึกษาแล้วจึงศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา แบ่งเป็น 4 ประเภทด้วยกัน

Secondary General School (Houptschule) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป วิชาที่สอน ได้แก่ ภาษาเยอรมัน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ สังคมวิทยา ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) และวิชาแนะนำวิชาชีพ เวลาเรียน 6 ปี หลังจบนักเรียนจะได้รับใบประกาศนียบัตรเพื่อเป็นประตูสู่การศึกษาสายวิชาชีพ

Intermediate School (Realschule) เป็นโรงเรียนที่อยู่ระหว่างโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป (Secondary General School) กับโรงเรียนมัธยมศึกษาที่เน้นวิชาการ (Grammar School) หลักสูตรส่วนใหญ่จะเน้น วิชาพื้นฐานทั่วไป หลังจบหลักสูตร 6 ปี แล้วจะได้ประกาศนียบัตรเพื่อศึกษาต่อไปในระดับที่สูงขึ้น เช่น โรงเรียนอาชีวะ ที่ต้องเรียนเต็มเวลา ประมาณ 40% ของผู้จบโรงเรียนมัธยมจะได้ประกาศนียบัตรแบบนี้

Grammar School (Gymnasium) เป็นการศึกษาระดับมัธยมศึกษา 9 ปี เป็นการเรียนการสอนที่เน้นวิชาการ และเมื่อเรียนในระดับ เกรด 11 – 13 วิธีการเรียนจะแบ่งเป็นการเลือกกลุ่มวิชา (Course) ที่ถนัด เพื่อเน้นบางสาขาวิชาโดยเฉพาะ เพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหลังจากจบเกรด 13 แล้ว

Comprehensive School (Gesamtshule) เป็นการผสมผสานการเรียนการสอนของโรงเรียนมัธยมทั้ง 3 ประเภท เข้าด้วยกันภายใต้การบริหารหนึ่งเดียว นักเรียนเริ่มเรียนตั้งแต่เกรด 5 ถึง เกรด 10 และจะเริ่มเรียนวิชาเฉพาะทาง ในระดับเกรด 7 บางกลุ่มวิชาจะมีการแบ่งการเรียนออกเป็นกว่า 11 ระดับ แล้วแต่ความยากง่าย

ข้อมูลทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับการศึกษาระดับสูง
วิทยาศาสตร์ การวิจัยค้นคว้า และการศึกษาในเยอรมันมีการสืบทอดต่อเนื่องกันมายาวนาน สถานศึกษาหลายแห่งในเยอรมัน มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปกว่าหลายศตวรรษ มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในเยอรมันอยู่ที่เมืองไฮเดลแบรก์ (Heldelberg) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1386 ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง มหาวิทยาลัยในเยอรมันเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์และมนุษยศาสตร์ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมันหันมาพัฒนาการศึกษาและการวิจัยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการรวมประเทศ มีมหาวิทยาลัยเกือบ 120 แห่ง และสถาบันเทียบเท่ามหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยเทคนิค มากกว่า 200 แห่ง กระจายทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังมีสถาบันการศึกษาชั้นสูง เช่น มหาวิทยาลัยเน้นภาคปฏิบัติ (Fachhochschule) มหาวิทยาลัยศิลปะการดนตรีและภาพยนตร์ เป็นต้น

สถาบันการศึกษาระดับสูงส่วนใหญ่เป็นของรัฐบาล มีไม่กี่แห่งที่ดำเนินการโดยนักสอนศาสนาคริสต์และกองทุนเอกชน ซึ่งเป็นสถาบันที่สอนด้านเทคโนโลยี กฎหมาย และบริหารธุรกิจ สถาบันการศึกษาของรัฐบาลเปิดรับนักศึกษาทุกเชื้อชาติเรียนฟรี ไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน แม้กระทั่งนักศึกษาเยอรมันก็ได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียนโดยรัฐบาลเยอรมัน

จากจำนวนนักศึกษาทั้งหมดเกือบ 2 ล้านคนในสถาบันอุดมศึกษาในเยอรมัน มีนักศึกษาประมาณ 140,000 คน ที่มาจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก นักศึกษาต่างชาติประมาณ 9,400 กว่าคน กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีสาขาต่างๆ ประมาณ 1,600 คน ศึกษาในหลักสูตรพิเศษเฉพาะทางและในระดับปริญญาเอกมีประมาณ 2,700 คน สำหรับหลักสูตรนานาชาติที่นักศึกษาสนใจเรียนเป็นพิเศษมีมากกว่า 500 หลักสูตร ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษบางส่วนหรือสอนเป็นภาษาอังกฤษ ตลอดทั้งหลักสูตรและมีโครงสร้างตามระบบการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยอังกฤษ-อเมริกัน

ค่าใช้จ่าย

ค่าเล่าเรียน

เนื่องจากสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่สนับสนุนโดยรัฐ สถาบันการศึกษาจึงไม่เก็บค่าเล่าเรียน รวมทั้งนักศึกษาต่างชาติด้วย แต่อาจมีบางสาขาวิชาของมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีการเรียกเก็บค่าเรียน ซึ่งจะมีตั้งแต่ภาคเรียนละ 10,000 บาท ไปจนถึง 180,000 บาท สำหรับมหาวิทยาลัยเอกชน ค่าเล่าเรียนอาจจะสูงถึง 300,000 บาทต่อภาคเรียน

ในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับค่าเล่าเรียนนั้น มหาวิทยาลัยเยอรมันเก็บค่าธรรมเนียม (Administrative Fee) ซึ่งเป็นจำนวนไม่มากนัก และอาจจะรวมค่าตั๋วโดยสารประจำทางด้วย ค่าธรรมเนียมนี้จะประมาณ 1,000 – 4,000 บาท ต่อภาคเรียน ซึ่งอาจจะสอบถามได้จากมหาวิทยาลัยโดยตรง
ค่าครองชีพ

ค่าครองชีพของนักศึกษาต่างชาติในเยอรมันจะเป็นคนละประมาณ 25,000 – 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะรวมค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าประกันสุขภาพ ค่าหนังสือ และค่าพักผ่อนหย่อนใจ นักศึกษาทุกคนต้องมีประกันสุขภาพ ซึ่งมีอัตราพิเศษสำหรับนักศึกษาต่างชาติ สำหรับผู้ที่อายุไม่เกิน 30 ปี จะอยู่ในโครงการประกันแบบอื่น ส่วนผู้ที่มีอาการป่วยโรคเรื้อรังบางอย่าง จะต้องอยู่ในโครงการประกันสุขภาพที่พิเศษแตกต่างออกไป

ข้อมูลจำเพาะ

ศุลกากร
สามารถจะนำเงินหรืออื่นๆ ที่ใช้แทนเงินสดเข้าเยอรมนีได้ โดยมีมูลค่าไม่เกิน 15,000 ยูโร
ของขวัญ อาหารไม่ต้องเสียภาษี หากนำเข้าในปริมาณที่เหมาะสม และเป็นไปเพื่อการบริโภคโดยส่วนตัว
การนำเข้าเหล้า บุหรี่ น้ำหอม จากประเทศในกลุ่ม EU เป็นไปโดยเสรี แต่อาจจะต้องพิสูจน์ว่านำมาเพื่อใช้บริโภคส่วนตัว

คนไทยในเยอรมนี
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 คนไทยที่มีถิ่นพำนักอยู่อย่างถูกต้อง มีจำนวน 50,000 คน ประมาณว่าคนไทยที่อยู่ในเยอรมนี ทั้งถูกและผิดกฎหมายรวมไม่ต่ำกว่า 70,000 คน อาหารไทยเป็นที่นิยมของชาวเยอรมัน จึงมีร้านอาหารไทยตั้งอยู่ตามเมืองใหญ่ทุกเมือง อาทิ ในเบอร์ลินมีประมาณ 80-100 ร้าน

การเช่าบ้าน
ส่วนมากบ้านพักหรืออพาร์ทเม้นท์ในเยอรมนีจะไม่มีเครื่องเรือนติดมาด้วย การหาบ้านพักอาจจะทำได้ทั้งโดยผ่านนายหน้า (คิดค่านายหน้าในอัตรา 2-3 เดือนของค่าเช่า) และหาจากหนังสือพิมพ์

ไฟฟ้า
ระบบโทรทัศน์และวีดีโอ ระบบ PAL 220 โวลท์ ปลั๊กไฟเป็นระบบกลมสองขา ถ้าติดตั้งดาวเทียมสามารถรับสัญญาณภาพจากสถานีโทรทัศน์ช่องห้าได้

โทรศัพท์
มีทั้งระบบหยอดเหรียญและใช้บัตร การโทรศัพท์มายังประเทศไทย ให้หมุนเลข 0066+รหัสจังหวัดของไทย โทรศัพท์มือถือ ปัจจุบันเป็นที่แพร่หลายมาก และมีบริษัทที่ให้บริการและข้อเสนอเกี่ยวกับการบริการมากมาย ขึ้นอยู่กับความต้องการและระยะเวลาที่จะใช้

โทรศัพท์มือถือ ค่าเช่าเครื่องครั้งแรก 1-25 มาร์ก และจ่ายค่าบริการเดือนละ 20-30 มาร์กหรือ ใช้การซื้อเด็ดขาดพร้อมการ์ด หากการ์ดหมดก็ซื้อมาเติมโทรศัพท์มือถือต่อไป

การคมนาคม
ทางอากาศ ราคาค่าตั๋วบินภายในประเทศแพงมาก อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน มีสายการบินต้นทุนต่ำให้บริการมากมาย ราคาค่าตั๋วของสายการบินเหล่านี้ขึ้นอยู่กับว่า ซื้อตั๋วก่อนล่วงหน้าการเดินทางนานเท่าใด โดยสามารถกระทำได้ทางอินเตอร์เน็ต
ทางรถยนต์ ทางด่วนมีความสะดวกมาก และเชื่อมเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศและไม่คิดค่าผ่านทาง
ทางรถไฟ สะดวก และรวดเร็วกว่ารถยนต์ อัตราค่าโดยสารรถไฟชั้นสอง ราคาอย่างถูกที่สุดอยู่ที่ประมาณ 111 ยูโร แต่ปัจจุบันสามารถซื้อตั๋วรถไฟได้ในราคาที่ถูกและเหมาะสม โดยต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าก่อนการเดินทางอย่างน้อย 3 วัน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

สำหรับนักศึกษา สถานที่ติดต่อ
สำนักงานที่ปรึกษาฝ่ายการศึกษาประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน ดูแลเยอรมัน
28 Princess Gate London SW7 1 GF, Great Britain
โทร. (44 20) 758 445 38
โทรสาร (44 20) 7823 9896

สมาคมนักเรียนไทยในเยอรมนีในพระบรมราชูปถัมภ์
ที่อยู่เดียวกับสถานเอกอัครราชทูตที่กรุงเบอร์ลิน แต่ให้วงเล็บว่า Thai Student-Verein in Deutschland

การขอวีซ่าเยอรมัน (Germany Visa)

การขอวีซ่า

นักศึกษาที่ประสงค์จะไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมนี ต้องมายื่นคำร้องขอวีซ่าด้วยตนเอง พร้อมแสดงหลักฐาน (ตัวจริงและสำเนาอย่างละ 2 ชุด) ดังต่อไปนี้

แบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่าที่กรอกเรียบร้อย 2 ชุด (ติดต่อขอรับแบบฟอร์มได้ที่สถานฑูตฯ หรือจาก website www.german-embassy.or.th ภายใต้หัวข้อแผนกกงสุลและวีซ่า
หนังสือเดินทางที่มีอายุการใช้งานไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
รูปถ่ายขนาดสำหรับติดหนังสือเดินทาง (2 นิ้ว) จำนวน 2 รูป
รายงานผลการตรวจสุขภาพเป็นภาษาอังกฤษ (ควรเป็นโรงพยาบาลของรัฐ)
หนังสือตอบรับให้เข้าศึกษาของสถาบันการศึกษา หรือหนังสือรับรองการสมัครเข้าศึกษาจากสถาบันการศึกษา (กรณีได้รับทุนการศึกษา) จำเป็นต้องแสดงเอกสารว่าท่านได้รับทุนการศึกษา
ท่านที่ประสงค์จะไปเรียนภาษาเยอรมัน จะต้องแสดงหลักฐานการสมัครเข้าเรียนภาษาจากทางสถาบันศึกษา (ไม่ต่ำกว่า 20 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์)
ท่านที่ประสงค์จะไปฝึกงาน/ฝึกอบรม จะต้องแสดงหนังสือสัญญาการรับเข้าฝึกงาน/ฝึกอบรม
หลักฐานหรือหนังสือรับรองฐานะทางการเงินจากธนาคาร เป็นภาษาอังกฤษ (Bank Statement) ซึ่งประเทศเยอรมนี ระบุชื่อเจ้าของบัญชีและชื่อนักศึกษา

หมายเหตุ
นักเรียน/นักศึกษาที่อายุยังไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ จะต้องมีหนังสือยินยอมให้เดินทางออกนอกประเทศได้จากผู้ปกครองที่ออกโดยหน่วยงานราชการ

เอกสารที่นำมายื่นจะต้องเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาเยอรมันเท่านั้น

สถานฑูตฯ มีสิทธิ์ที่จะเรียกเอกสารอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้นเพิ่มเติม อีกทั้งสามารถเรียกเอกสารหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา

วีซ่าศึกษา ใช้ได้เฉพาะในประเทศเยอรมนีเท่านั้น และไม่สามารถทำงานได้ ยกเว้นช่วงปิดเทอม

สถานฑูตฯ จะส่งคำร้องขอวีซ่า พร้อมเอกสารประกอบคำร้องทั้งหมดไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในประเทศเยอรมนี ณ เมืองที่ท่านประสงค์จะไปศึกษา เพื่อเสนอพิจารณาอนุมัติ และสถานฑูตฯ จะออกวีซ่าให้ได้ต่อเมื่อได้รับคำตอบอนุมัติจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแล้วเท่านั้น ดังนั้นการดำเนินการขอวีซ่าประเภทนี้อาจใช้เวลา 6 ถึง 8 สัปดาห์ โดยประมาณ ในบางกรณีอาจจะใช้เวลาดำเนินการมากกว่านี้ก็เป็นได้ ทั้งนี้สถานฑูตฯ จะแจ้งผลวีซ่าให้ท่านทราบเป็นลายลักษณ์อักษร โดยส่งไปยังที่อยู่ที่ได้ให้ไว้กับทางสถานฑูตฯ

ประเทศสวีเดน : สตอกโฮล์ม



ข้อมูลเบื้องต้น : สตอกโฮล์ม

ชื่อทางราชการ ราชอาณาจักรสวีเดน
พื้นที่ 450,000 ตร.กม. มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเหนือ ขนาดใกล้เคียงกับประเทศไทย ครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยป่าไม้ มีทะเลสาบหนึ่งแสนแห่งทั่วประเทศ ทำให้พื้นที่เกษตรกรรมเพียงร้อยละ 10 และมีเกาะนับหมื่นเกาะอยู่ตามบริเวณชายฝั่ง
เมืองหลวง กรุงสตอกโฮล์ม (Stockholm) เมืองท่า และเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญ คือ โกเธนเบอร์ก (Gothenborg) และมัลเมอ (Malmo) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ
ประชากร 9 ล้านคน ( 6 แสนคนเป็นชาวต่างชาติ) ในกรุงสตอกโฮล์มมีประชากร 1.8 ล้านคน
ศาสนา รัฐให้อิสรภาพในการนับถือศาสนา แต่ร้อยละ 95 ของชาวสวีดิชนับถือศาสนาคริสต์นิกายลูเธอราน
ภาษา ภาษาสวีดิชและภาษาอังกฤษใช้กันอย่างแพร่หลาย ภาษาสวีดิชจัดอยู่ในตระกูลภาษาเยอรมัน (Germanic language) ดังนั้น ชาวสวีเดน ชาวเดนมาร์ก และชาวนอร์เวย์สามารถสื่อสารกันได้ เนื่องจากภาษาใกล้เคียงกัน
อากาศ หนาวเย็นปีละประมาณ 8 เดือน อุณหภูมิในฤดูหนาวโดยเฉลี่ยจะต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส และมีหิมะตกพอประมาณ ทางตอนเหนือของสวีเดนมีฤดูหนาวที่ยาวนานและหนาวเย็น ส่วนฤดูร้อนอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 18 องศาเซลเซียส ทางตอนเหนือในเดือน มิ.ย.-ก.ค. จะมีแสงอาทิตย์ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน

การคมนาคม
สนามบินนานาชาติ คือ สนามบิน Arlanda ตั้งอยู่ห่างจากกรุงสตอกโฮล์ม ประมาณ 40 กม. จากสนามบินมีรถไฟและรถเมล์โดยสารตรงเข้ากรุงสตอกโฮล์ม โดยรถไฟออกทุก 15 นาที ค่าโดยสารรถไฟ 190 โครนาสวีเดน ใช้เวลาเดินทาง 20 นาที และมีรถเมล์เข้ากรุงสตอกโฮล์มทุกๆ 5-10 นาที ค่าโดยสารรถเมล์ 89 โครนาสวีเดน ค่าภาษีการใช้สนามบินมักจะรวมไว้ในราคาบัตรโดยสารเครื่องบินแล้ว เครือข่ายการบินในประเทศครอบคลุม รถประจำทางและระบบรถไฟสะดวกรวดเร็ว

การปกครอง
ระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีรัฐสภาในระบบสภาเดียว สมาชิกรัฐสภา 349 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากชาวสวีเดนอายุ 18 ปีขึ้นไป และจะอยู่ในตำแหน่งวาระ 4 ปี สำหรับการปกครองส่วนท้องถิ่นสวีเดนมี 24 มณฑล และมีเทศบาล 288 แห่ง โดยแต่ละเทศบาลมีสภาที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อทำหน้าที่บริการและอำนวยความสะดวกแก่ชุมชนในเรื่องต่าง ๆ เช่น ที่อยู่อาศัย ถนน ระบบระบายน้ำ การให้การศึกษาขั้นพื้นฐาน การดูแลคนชรา การให้สวัสดิการแก่เด็ก เป็นต้น

สถาบันพระมหากษัตริย์
สมเด็จพระราชาธิบดี คาร์ลกุสตาฟที่ 16 เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อปี พ.ศ. 2516 ตามรัฐธรรมนูญ ทรงเป็นประมุขของรัฐ และตัวแทนของประเทศ ทรงไม่มีพระราชอำนาจทางการเมือง พระองค์และพระราชินีซิลเวีย ทรงมีพระราชธิดาและพระราชโอรส 3 พระองค์ คือ มกฎราชกุมารีวิคตอเรีย เจ้าชายคาร์ลฟิลิป และเจ้าหญิงมาเดอแลน

เศรษฐกิจ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติต่อหัวประมาณ 28,400 เหรียญสหรัฐ อุตสาหกรรมหลักคือไม้สน เหล็ก ยานยนต์ การสื่อสาร ประเทศคู่ค้าที่สำคัญคือ สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา

เงินตรา
สกุลโครนาสวีเดน (1 โครนาสวีเดนเท่ากับประมาณ 5.10 บาท) ตู้เงินอัตโนมัติ (ATM) รับบัตรเครดิตและบัตร Cirrus การแลกเปลี่ยนเงินตราทำได้ง่าย แต่หากถือเช็คเงินเดินทาง (traverller's cheque) อาจจะเสียค่าธรรมเนียมบ้าง

การเข้าเมือง
สวีเดนเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป แต่มิได้เข้าร่วมใช้เงินสกุลยูโร และเป็นสมาชิกเชงเก้น (Schengen) เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2544 ดังนั้น ผู้ที่ถือหนังสือเดินทางไทยที่ขอวีซ่าเชงเก้นจากประเทศภาคีประเทศใดประเทศหนึ่งแล้ว จะสามารถเดินทางไปยังประเทศสมาชิกเชงเก้นได้ทุกประเทศ แต่จะต้องเดินทางเข้าประเทศที่ได้รับการตรวจลงตราประเทศแรกก่อน และพำนักได้เป็นเวลา 3 เดือน ภายในช่วงระยะเวลา 6 เดือน

ข้อควรระวัง
สวีเดนเป็นรัฐสวัสดิการที่ดี ทำให้ผู้คนมีความเป็นอยู่ที่ดี แต่เนื่องจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปทำให้ประชาชนของประเทศสมาชิก สามารถเดินทางเข้าออกสวีเดนได้อย่างเสรี ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในทรัพย์สิน เช่น การขโมยกระเป๋าเดินทาง การล้วงกระเป๋า ฯลฯ ดังนั้น ขอให้พึงระมัดระวัง ตั้งแต่สนามบิน โรงแรม และย่านช็อปปิ้ง หากสิ่งของท่านหาย โปรดปฏิบัติ ดังนี้

1. รีบแจ้งความตำรวจ โดยเฉพาะบัตรเครดิต โปรดแจ้งธนาคารเพื่อระงับการใช้โดยด่วน
2. ติดต่อสายการบินเพื่อแจ้งตั๋วเครื่องบินหาย
3. ติดต่อสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงสตอกโฮล์ม

หน่วยงานราชการไทย
สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองโกเธนเบอร์ก
(Royal Thai Consulate)
Gullbergs Strandgate 2
SE-405 14 Goeteborg
โทรศัพท์ : (+46(0)31) 771 54 00
โทรสาร : (+46(0)31) 15 32 40



หากท่านจะอยู่อาศัยในประเทศสวีเดน
เป็นระยะเวลานาน โปรดแจ้งชื่อ และที่อยู่
ต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ เพื่อประโยชน์ในการติดต่อ
หรือให้ความช่วยเหลือในกรณีจำเป็น สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงสตอกโฮล์ม
(Royal Thai Embassy)
Floragatan 3, Box 26220, Stockholm
โทรศัพท์ : (+46(0)8) 791 7340
โทรสาร : (+46(0)8) 791 7351
E-mail : info@thaiembassy.se

ประเทศกรีซ



ที่ตั้งและอาณาเขต กรีซตั้งอยู่ทางยุโรปตอนใต้ โดยอยู่ทางตอนใต้ของแหลมบอลข่าน และทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศเหนือจรดแอลเบเนีย ยูโกสลาเวีย และบัลแกเรีย ทิศตะวันออกจรดตุรกี และทะเลอีเจียน ทิศใต้จรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศตะวันตกจรดทะเลไอโอเนียน

พื้นที่ 132,000 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 50,961 ตารางไมล์)
เป็นหมู่เกาะ 3,000 เกาะ

ภูมิอากาศ สภาพอากาศโดยทั่วไปปกติมีอุณหภูมิสบายๆ ในฤดูหนาว อากาศหนาวเล็กน้อย ในฤดูร้อน อากาศร้อนและแห้ง

ประชากร 11.2 ล้านคน (2550)

ภาษา ภาษากรีก (ภาษาราชการ) และอื่นๆ (อังกฤษ และฝรั่งเศส)

ศาสนา คริสต์นิกายกรีกออร์โธดอกซ์ (ร้อยละ 98) อิสลาม (ร้อยละ 1.3) และอื่นๆ (ร้อยละ 0.7)

เมืองหลวง กรุงเอเธนส์ (Athens)

เมืองสำคัญ 1. เทสซาโลนิกิ (Thessaloniki) เป็นเมืองท่าและเมืองที่ใหญ่เป็นลำดับสอง อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ
2. พาทราส (Patras) เป็นเมืองใหญ่อันดับสามและเมืองท่าทางตะวันตกของประเทศ
3. พิเรอุส (Piraus) เป็นเมืองท่าสำคัญ
นอกจากนั้นยังมีเมือง ลาริสสา (Larissa) อิราคลิออน (Iraklion)

สกุลเงิน ยูโร (Euro – EUR)
1 ยูโร = 47.15 บาท (ณ วันที่ 20 ม.ค. 2010)


วันชาติ 25 มีนาคม

หมายเหตุ สาธารณรัฐเฮลเลนิก เป็นชื่ออย่างเป็นทางการที่ใช้ในองค์การสหประชาชาติ และใช้มาตั้งแต่ปี 2372 ซึ่งเป็นปีที่กรีซได้รับเอกราชจากจักรวรรดิออตโตมัน มีที่มาจากเทพธิดากรีซ "นางเฮเลน" ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีจากเทพนิยายสงครามกรุงทรอย ดั้งเดิมเป็นชื่อที่ใช้เรียกประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมือง Hellas ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งขึ้นตามชื่อของนางเฮเลน และต่อมาได้ขยายใช้เรียกประชากรเป็นการทั่วไป และในภาษากรีกปัจจุบัน เรียกประเทศของตนเองว่า Ellas (มาจากคำว่า Hellas)
ในสมัยโบราณดินแดนที่เป็นประเทศกรีซ ถูกแบ่งออกเป็นหลายชนเผ่า ชื่อที่รู้จักเป็นการทั่วไปในปัจจุบันว่า ประเทศ Greece ในภาษาอังกฤษ มาจากคำภาษาลาตินว่า Graecia ซึ่งเป็นชื่อที่ดั้งเดิมใช้เรียกดินแดนที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรีซในปัจจุบัน และเรียกชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ว่า Graekos
การเมืองการปกครอง
ระบบการเมือง สาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบมีรัฐสภา (สภาเดียว) โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข (Presidential Parliamentary Republic)

ประมุข (ประธานาธิบดี) นาย Karolos PAPOULIAS ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 (ครั้งเเรกเมื่อ 12 มีนาคม 2548 และครั้งล่าสุดเมื่อ 3 ก.พ. 53) ประธานาธิบดีมีวาระ 5 ปี

นายกรัฐมนตรี นาย George Papandreou เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 52 โดยกรีซมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 4 ต.ค. 52
รัฐมนตรีต่างประเทศ นาย George Papandreou (นาย Papandreou ดำรงตำแหน่ง นรม. ควบคู่กับตำแหน่ง รมว.กต.)

สถาบันและระบบทางการเมือง
-ประธานาธิบดี ได้รับเลือกตั้งจากรัฐสภา โดยต้องได้รับคะแนนเสียง 2 ใน 3 มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี ไม่เกิน 2 วาระ ประธานาธิบดีจะแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (โดยคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี) รัฐสภาอาจจะกล่าวโทษประธานาธิบดี ถ้ามีผู้สนับสนุนไม่ต่ำกว่าจำนวน 1 ใน 3 และต้องใช้คะแนนเสียง 2 ใน 3 ในการผ่านญัตติ ประธานาธิบดีอาจจะยุบสภาได้ด้วยคำแนะนำของคณะรัฐบาลหรือความยินยอมของสภาแห่งสาธารณรัฐ (Council of the Republic)
- รัฐสภา ประกอบด้วยผู้แทน 300 คน ที่มาจากการเลือกตั้งโดยทางตรง
(the Hellenic Parliament) มีวาระ 4 ปี
- สภาแห่งสาธารณรัฐ เป็นเสมือนที่ปรึกษาของประธานาธิบดี ประกอบด้วย (Council of the Republic) อดีตประธานาธิบดี อดีตนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีและผู้นำพรรคการเมืองฝ่ายค้านซึ่งได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา สภาแห่งสาธารณรัฐอาจจะช่วยจัดตั้งรัฐบาลในกรณีที่พรรคการเมืองใหญ่ๆ ไม่สามารถตกลงกับจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ทั้งนี้ ต้องได้รับความยินยอมจากรัฐสภา นอกจากนี้ สภาแห่งสาธารณรัฐอาจให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีซึ่งมิได้เป็นสมาชิกรัฐสภา
- คณะรัฐมนตรี ประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรีจะต้องได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา และอาจถูกยุบได้ด้วยการลงคะแนนเสียงไม่ไว้วางใจจากรัฐสภา
- อำนาจนิติบัญญัติ ร่างกฎหมายที่จะผ่านรัฐสภาต้องได้รับความเห็นชอบจากประธานาธิบดีซึ่งมีสิทธิคัดค้านได้ แต่การคัดค้านกฎหมายของประธานาธิบดีจะไม่มีผล ถ้าเสียงข้างมากของสมาชิกรัฐสภายังยืนยันสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว
- อำนาจตุลาการ ประธานาธิบดีโดยคำแนะนำของสภาตุลาการจะแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาตลอดชีวิต ผู้พิพากษาจะเป็นอิสระไม่ขึ้นตรงต่อผู้ใด กรีซมีศาลปกครอง ศาลแพ่ง และศาลอาญา นอกจากนี้ ยังมีศาลสูงพิเศษซึ่งมีอำนาจตัดสินเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ

การเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุด มีขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2552

ในการเลือกตั้งทั่วไป พรรค PASOK สามารถเอาชนะพรรค ND ได้ตามความคาดหมาย ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 43.92 ได้ ส.ส. 160 คนจาก ส.ส. ในสภาทั้งหมด 300 คน จึงทำให้พรรค PASOK สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวบริหารประเทศ โดยนายปาปันเดรอูดำรงตำแหน่งทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศควบคู่กัน
การพ่ายแพ้การเลือกตั้งของพรรค ND ในครั้งนี้ เนื่องมาจากข่าวอื้อฉาวเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวงกรณีบุคคลในรัฐบาลรับเงินจากภาคเอกชน ความล้มเหลวในการยุติเหตุการณ์จลาจลครั้งใหญ่ปลายปี ๒๕๕๑ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่คาดว่าจะเข้าสู่ภาวะตกต่ำเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2533 การลอบวางระเบิดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ (ครั้งล่าสุดที่หน้าตลาดหลักทรัพย์กรีซ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2552) และเหตุการณ์ไฟป่าใกล้กรุงเอเธนส์เมื่อเดือนสิงหาคม 2552
ผลจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า การเมืองกรีกยังคงเป็นระบบทายาท (Inherited Democracy) โดยนายปาปันเดรอู และนายคารามานลิส อดีตนายกรัฐมนตรี ต่างเป็นทายาทของ 2 ตระกูลใหญ่ทางการเมืองที่ผลัดกันบริหารประเทศ จึงทำให้ไม่ว่าจะเป็นพรรคใดขึ้นครองอำนาจ ก็ไม่มี
แรงกดดันที่จะต้องพัฒนา และแก้ไขปัญหาต่างๆ ภายในประเทศ ส่งผลให้กรีซกลายเป็นประเทศที่ล้าหลังประเทศหนึ่งในยุโรป
คณะรัฐมนตรีปัจจุบันประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวมทั้งหมด 17 คน โดยเป็นรัฐมนตรีสตรีจำนวน 5 คน (ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและพาณิชย์ / สิ่งแวดล้อม พลังงาน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ / ศึกษาธิการ / สาธารณสุขและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางสังคม / การพัฒนาทางเกษตรกรรมและอาหาร)
ทั้งนี้ กรีซมีตำแหน่ง Alternate Minister of Foreign Affairs ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงกว่า Deputy Minister of Foreign Affairs และในทางปฏิบัติ จะทำหน้าที่แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีภาระควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องทั่วไปที่ไม่ได้มีผลกระทบต่อกรีซอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ การเข้าพบกับเอกอัครราชทูตของประเทศต่างๆ ประจำกรีซ เป็นต้น

นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลชุดปัจจุบัน

นโยบายการต่างประเทศของรัฐบาลปัจจุบันมี ดังนี้ (๑) ให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (๒) ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (๓) ส่งเสริมบทบาทของกรีซภายใต้องค์การเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Cooperation in Europe - OSCE) (๔) มุ่งหวังให้กรีซเป็นประเทศที่อยู่ในจุดศูนย์กลาง ไม่ใช่ชายขอบของการพัฒนาต่างๆ (๕) สนับสนุนกรีกไซปรัส โดยต้นตอของปัญหาเรื่องนี้เกิดจากการที่ตุรกีใช้กำลังทหารบุกยึดไซปรัส และกรีซสนับสนุนตุรกีเข้าเป็นสมาชิก EU ภายใต้เงื่อนไขที่ตุรกีต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EU (๖) แสดงบทบาทนำในคาบสมุทรบอลข่าน โดยสนับสนุนให้ประเทศเหล่านี้เข้าเป็นสมาชิก EU ภายในปี ๒๕๕๗ สำหรับมาซิโดเนีย จะต้องมีการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับชื่อประเทศให้สำเร็จก่อนที่กรีซจะสนับสนุน (๗) ดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจอย่างสมเกียรติ โดยจะหารือกับสหรัฐฯ อย่างเท่าเทียม และกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียยิ่งขึ้น (๘) ส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศมหาอำนาจเกิดใหม่ (emerging power) เช่น จีน อินเดีย และบราซิล ในขณะเดียวกันก็เพิ่มบทบาทของกรีซในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลดำ และตะวันออกกลาง โดยกรีซสนใจการแก้ไขปัญหาอิสราเอล-ปาเลสไตน์ (๙) พัฒนาบทบาทของกรีซเกี่ยวกับความมั่นคงด้านพลังงานของยุโรป ในฐานะที่กรีซเป็นประเทศที่มีท่อลำเลียงก๊าซ/น้ำมันผ่านเข้าสู่ยุโรป (๑๐) ให้ความสำคัญกับการทูตเชิงเศรษฐกิจและวัฒนธรรม และ (๑๑) ถือว่าชุมชนกรีกในต่างประเทศเป็นความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของกรีซ และปรับปรุงการให้บริการแก่คนกรีกในต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลใหม่นี้ ไม่ได้มีเนื้อหาที่แตกต่างจากรัฐบาลชุดก่อน โดยเรื่อง EU ยังคงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการดำเนินนโยบายของกรีซ กล่าวคือ กรีซหาผลประโยชน์จากการเป็นสมาชิก EU ใน ๒ ลักษณะ คือ (๑) ได้รับเงินช่วยเหลือจาก EU ในจำนวนที่สูงมากตลอดมา (๒) ใช้ EU เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมบทบาท ผลประโยชน์ และเจรจาต่อรองแก้ปัญหากับประเทศต่างๆ อาทิ ปัญหากรีซ-ไซปรัส-ตุรกี การขู่ไม่สนับสนุนมาซิโดเนียเข้าเป็นสมาชิก EU หากไม่มีข้อสรุปเรื่องชื่อประเทศใหม่ของมาซิโดเนีย และการเรียกร้องให้ EU ช่วยแบกรับภาระปัญหาการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงวิกฤตปัญหาเศรษฐกิจของกรีซในปัจจุบัน หากกรีซไม่ได้เป็นสมาชิก EU และไม่ได้อยู่ใน Eurozone เศรษฐกิจของกรีซอาจประสบภาวะไม่สามารถชำระหนี้ต่างประเทศ และมีการลดค่าเงิน เป็นต้น
ในทางปฏิบัติ นอกจากเรื่อง EU กรีซจะมุ่งเน้นเรื่องปัญหากรีซ-ตุรกี-ไซปรัส และชื่อประเทศมาซิโดเนีย ส่วนเรื่องอื่นๆ ตามแถลงการนโยบายต่างประเทศนั้น คงไม่ส่งผลในเชิงรูปธรรมเท่าใดนัก เนื่องจากบทบาท/อิทธิพลที่จำกัดของกรีซ
ความสัมพันธ์กับภูมิภาคอื่นๆ กรีซคงให้ความสำคัญกับภูมิภาคอื่นๆ ไม่มากนักเหมือนที่ผ่านมา โดยภายใต้รัฐบาลชุดเก่า กรีซไม่ให้ความสนใจกับประเทศในเอเชีย แม้แต่ประเทศสำคัญอย่างญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี ได้เริ่มมีการกล่าวถึงประเทศในเอเชีย ในฐานะประเทศมหาอำนาจเกิดใหม่บ้างแล้ว
นอกจากนี้ การสร้างความน่าเชื่อถือของกรีซ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจในสายตาของประชาคมระหว่างประเทศจะเป็นประเด็นเร่งด่วนที่รัฐบาลกรีซให้ความสำคัญ ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐบาลชุดเก่า (ภายใต้การนำของนายคารามานลิสแห่งพรรค ND) คาดการณ์ว่า ปี ๒๕๕๒ กรีซจะขาดดุลเพียงร้อยละ ๓.๗ ของ GDP แต่ทันทีที่รัฐบาลปัจจุบันเข้าบริหารประเทศกลับประเมินว่า ตัวเลขอาจสูงถึงร้อยละ ๑๒ ของ GDP ซึ่งสร้างความห่วงกังวลให้ EU อย่างมาก อนึ่ง รัฐบาลกรีซได้แก้ไขตัวเลขทางเศรษฐกิจให้ดีกว่าสภาพความเป็นจริงเพื่อให้กรีซสามารถเข้าเป็นสมาชิก Eurozone ในปี ๒๕๔๔



เศรษฐกิจการค้า
GDP 314.6 พันล้าน USD (2551)
อัตราการเจริญเติบโต ร้อยละ 4 (2551)
GDP per capita 28,273 USD (2551)
อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 3 (2551)

อุตสาหกรรม ท่องเที่ยว*, อาหารแปรรูป, สิ่งทอ
ทรัพยากรธรรมชาติ แร่ธาตุ, ปิโตรเลียม, หินอ่อน
ตลาดนำเข้าสำคัญ เยอรมนี อิตาลี รัสเซีย ฝรั่งเศส จีน
ตลาดส่งออกสำคัญ อิตาลี เยอรมนี บัลแกเรีย สหราชอาณาจักร ไซปรัส

สินค้านำเข้าสำคัญ ถ่านหิน สังกะสี เครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้าและรถยนต์
สินค้าส่งออกสำคัญ ธัญพืช ไวน์ อะลูมิเนียม ผัก อาหารสำเร็จรูป น้ำมันมะกอก นมเนย

*กรีซมีรายได้หลักจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว คิดเป็นร้อยละ 15 ของ GDP และกรีซยังเป็นศูนย์การพาณิชย์นาวีและเป็นประเทศที่เป็นเจ้าของเรือพาณิชย์เอกชนมากที่สุดในโลก ล่าสุดจากการสำรวจของ World Economic Forum ในปี 2009 ซึ่งได้มีการจัดลำดับความสามารถด้านการท่องเที่ยวของประเทศต่างๆ ทั่วโลก กรีซอยู่ในลำดับที่ 24 และไทยอยู่ในลำดับที่ 39

ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-กรีซ

มูลค่าการค้ารวม (ปี 2552) 240.53 ล้าน USD ไทยส่งออก 217.09 ล้าน USD นำเข้า 23.44 ล้าน USD ไทยได้เปรียบดุล 193.64 ล้าน USD

ไทยส่งออก รถบรรทุก เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องประดับทอง/เงิน รถจักรยานยนต์และอะไหล่
ไทยนำเข้า ผลไม้แห้งและถั่ว น้ำมันปิโตรเลียม ผักและผลไม้ดอง สีย้อม/วัตถุแต่งสี สีทาและน้ำยาขัดเงา ยา

สภาพเศรษฐกิจและนโยบายเศรษฐกิจภายในรัฐบาลปัจจุบัน

1. เศรษฐกิจของกรีซจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจจะติดลบร้อยละ ๑.๑๔ และ ๑.๗ ตามลำดับ เนื่องจากการลดลงของ (๑) ความเชื่อมั่น (๒) รายรับจากการท่องเที่ยว และการขนส่งทางเรือ (๓) การลงทุน (๔) การบริโภคของภาคเอกชน และ (๕) การส่งออก นอกจากนั้น กรีซยังมีหนี้สาธารณะสูงเกือบร้อยละ ๑๐๐ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product - GDP) ล้มเหลวในการบรรุลเป้าหมายทางการคลังอย่างต่อเนื่อง และรายรับรายจ่ายของประเทศไม่สมดุลอย่างมากด้วย
เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต กรีซไม่สามารถผัดผ่อนการแก้ไขปัญหาสถานะการคลังที่ย่ำแย่ของประเทศได้อีกต่อไป โดยต้องเร่งพิจารณาความไม่สมดุลด้านการคลัง กล่าวคือ
(๑) การคลัง และดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศขาดดุลในระดับที่สูง (๒) เงินเฟ้อและค่าจ้างแรงงานเพิ่มในอัตราที่สูงกว่าของประเทศคู่ค้า ซึ่งลดทอนความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และ (๓) การลงทุนจากต่างประเทศลดต่ำลง ซึ่งหากรัฐบาลกรีซไม่ดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง IMF คาดว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๑๑๖ ของ GDP ในปี ๒๕๕๓ เป็นร้อยละ ๑๒๐ ในปี ๒๕๕๔
นอกจากนี้ รัฐบาลกรีซต้องเร่งพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศและดำเนินการปฏิรูปในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง (๑) ระบบประกันสังคมที่กรีซต้องแบกรับภาระจำนวนประชากรสูงวัยที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต (ขยายอายุเกษียณ ยกเลิกเงินโบนัสสำหรับโอกาสพิเศษต่างๆ จำกัดการเพิ่มเงินเดือน) (๒) การเงิน/การคลังเพื่อเพิ่มรายได้เข้าประเทศ (ขยายฐาน/ปรับปรุงระบบจัดเก็บภาษี แก้ไขความซับซ้อนระบบภาษี) (๓) การศึกษา (ปรับปรุงคุณภาพ และพัฒนาการศึกษาทุกระดับ) และ (๔) ระบบสาธารณสุข/การแพทย์ (พัฒนาให้โรงพยาบาลมีการบริหารจัดการที่ทันสมัย ปรับปรุงโครงสร้างการบริการสาธารณสุขให้มีเอกภาพ)
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางคนเห็นว่า ปัญหาเศรษฐกิจของกรีซไม่ได้อยู่ที่การขาดดุล ซึ่งก็มีหลายประเทศประสบปัญหาเช่นกัน อาทิ สหรัฐฯ และอิตาลี แต่อยู่ที่ความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง โดยกรีซไม่สามารถผลิตสินค้า/บริการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ แม้แต่กับประเทศกำลังพัฒนาก็ตาม ดังสะท้อนให้เห็นได้จาก World Competitiveness Scoreboard ประจำปี ๒๕๕๒ ของสถาบันพัฒนาการจัดการนานาชาติ (Institute for Management Development - IMD) ซึ่งกรีซได้อันดับที่ ๕๒ (ไทย อันดับที่ ๒๖) จากทั้งหมด ๕๗ เขตเศรษฐกิจ โดยมีเพียง ๕ ประเทศที่ได้อันดับต่ำกว่ากรีซ คือ
โครเอเชีย โรมาเนีย อาร์เจนตินา ยูเครน และเวเนซุเอลา
2. นายปาปันเดรอู นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ประกาศจะใช้มาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาของประเทศโดยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ มีมูลค่ารวม ๓ พันล้านยูโร โดยมีเป้าหมายสำคัญในการลดการว่างงาน และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย อาทิ ขึ้นเงินเดือนข้าราชการให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ ให้เงินช่วยเหลือชั่วคราวแก่ผู้มีรายได้น้อย และลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ดี นายปาปันเดรอูประกาศจะไม่เพิ่มภาระภาษีแก่ประชาชน ดังนั้น รัฐบาลกรีซคงไม่มีทางเลี่ยงอื่นนอกจากจะต้อง (๑) กู้เงินเพิ่มมากขึ้น (รัฐบาลกรีซได้กู้เงินรวมกว่า ๕๐ พันล้านยูโรในช่วงที่ผ่านมา) ซึ่งจะทำให้ภาวะขาดดุลทางเศรษฐกิจสูงขึ้น และย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission - EC) ที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกขาดดุลงบประมาณไม่เกินร้อยละ ๓ ซึ่งที่ผ่านมากรีซก็พยายามเจรจาขอผ่อนปรนเรื่อยมา และพยายามแก้ปัญหาสะสมที่ประชาชนมักหลบเลี่ยงการชำระภาษี รวมทั้งเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูง เพื่อให้รัฐบาลมีรายรับมากขึ้น
3. กรีซพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป (European Union – EU) ค่อนข้างมาก คิดเป็นร้อยละ ๓.๓ ของ GDP โดยเงินส่วนใหญ่ใช้ไปกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ อย่างไรก็ดี เงินช่วยเหลือดังกล่าวจะมีมูลค่าลดลงตามลำดับ ทั้งนี้ เพื่อจัดสรรให้กับประเทศสมาชิกใหม่ของ EU
4. ในฐานะที่กรีซเป็นประเทศสมาชิก EU และองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) กรีซจึงต้องเพิ่มบทบาทการให้เงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ คิดเป็นร้อยละ ๐.๒ ของ GDP โดยจะมุ่งเน้นประเทศในภูมิภาคบอลข่านเป็นสำคัญ


ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเฮลเลนิก
ความสัมพันธ์ทางการทูต
ประเทศไทยและกรีซได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในระดับเอกอัครราชทูต ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2501
วันที่ 26 พ.ค. 2551 เป็นวันครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและกรีซ

ความสัมพันธ์ทางการเมือง
ไทยและกรีซไม่มีปัญหาทางการเมืองต่อกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศดำเนินมาโดยราบรื่น

จุดแข็งของกรีซ
- สภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์สามารถพัฒนาให้เป็น gateway ไปสู่กลุ่มประเทศบอลข่านและกลุ่มประเทศย่านทะเลดำได้ในอนาคต
- เศรษฐกิจมีแนวโน้มจะขยายตัวซึ่งจะนำไปสู่การนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น
- มีความสัมพันธ์และภาพลักษณ์ที่ดีกับไทยมาโดยตลอด
- มีศักยภาพที่จะขยายความร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้ความชำนาญในบางสาขาที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ เช่น การเดินเรือ การท่องเที่ยว เป็นต้น

การท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวกรีซเดินทางมาไทย 13,076 คน (ม.ค.-ก.ย. 2552)
คนไทยในกรีซ มีคนไทยอาศัยอยู่ในกรีซประมาณ 400 คน โดยส่วนมากเป็นหญิงไทยที่สมรสกับชาวกรีก นักเรียน และแรงงานไทย มีนักโทษจำนวน 1 คน (ปี 2552)


แรงงานไทยในกรีซ
กรีซมีกำลังแรงงานทั้งประเทศประมาณ 4.37 ล้านคน และประสบปัญหาอัตราการว่างงานสูงถึงประมาณร้อยละ 9 นอกจากนี้ กรีซยังมีปัญหาผู้อพยพหรือผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่มาจากแอลแบเนีย โปแลนด์ โรมาเนีย บัลแกเรีย และเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ประมาณ 800,000 คน ดังนั้น รัฐบาลกรีซจึงมีนโยบายไม่รับแรงงานต่างชาติเข้าไปทำงานอีกและมีความเข้มงวดในเรื่องการเข้าเมืองมาก
สำหรับคนไทยที่เข้าไปทำงานในกรีซ ปัจจุบัน มีประมาณ 100 คน เข้าไปทำงานได้ด้วยการติดต่อกับคนรู้จักหรือญาติ โอกาสของแรงงานไทยมี 2 ประเภท คืองานแม่บ้านซึ่งคงจะขยายอีกไม่ได้มากนัก และงานกะลาสีเรือ ซึ่งปัจจุบัน แรงงานจากฟิลิปปินส์และอินเดียครอบครองอยู่

ความตกลงทวิภาคีที่ได้ลงนามแล้ว
- ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ลงนามเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๑๕
- ความตกลงด้านวัฒนธรรม ลงนามเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๗

ความตกลงที่อยู่ระหว่างการพิจารณาจัดทำ
- ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ
- อนุสัญญาเพื่อการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน
- ความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน
- ความตกลงว่าด้วยบริการเดินเรือพาณิชย์
- ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และวิชาการ

การแลกเปลี่ยนการเยือน
ฝ่ายไทย
ระดับพระราชวงศ์
- วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๐๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ เยือนกรีซเป็นการส่วนพระองค์ เพื่อร่วมในพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างพระราชาธิบดีคอนสแตนตินแห่งกรีซกับเจ้าหญิงอานน์มารีแห่งเดนมาร์ก ที่กรุงเอเธนส์
- วันที่ ๓๐ มีนาคม – ๑๔ เมษายน ๒๕๓๖ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จเยือนกรีซอย่างเป็นทางการ
- วันที่ ๒๐ – ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๓๖ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ เยือนกรีซอย่างเป็นทางการ
- วันที่ ๑๓ – ๑๕ ตุลาคม ๒๕๓๖ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จเยือนกรีซอย่างเป็นทางการ

ระดับรัฐบาล
- วันที่ ๒๙ กันยายน – ๑ ตุลาคม ๒๕๓๐ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนกรีซอย่างเป็นทางการ
- วันที่ ๑๕ – ๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๑นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เดินทางเยือนกรีซอย่างเป็นทางการ
- วันที่ ๑ – ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางเยือนกรีซอย่างเป็นทางการ
- วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุม ซึ่งจัดโดย ASIA FORUM ๒๐๐๐ ณ เมืองเทสซาโลนิกิ ประเทศกรีซ และได้พบปะหารือข้อราชการทวิภาคีกับนาย กริกอริส นิโอติส (Grigoris Niotis) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศกรีซ
- วันที่ ๑๒ – ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๗ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมาร่วมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ๒๐๐๔
- วันที่ ๒๖ – ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๗ และวันที่ ๑๖ – ๒๐ กันยายน ๒๕๔๗ นายสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เดินทางเยือนกรีซ ๒ ครั้ง ในระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกที่กรุงเอเธนส์
- วันที่ ๓ - ๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนกรีซ
- วันที่ ๔ - ๕ กันยายน ๒๕๔๙ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนกรีซ
- วันที่ ๔ - ๗ กันยายน ๒๕๔๙ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้แทนการค้าไทย เดินทางเยือนกรีซ
ฝ่ายกรีซ
ระดับรัฐบาล
- วันที่ ๕ – ๗ เมษายน ๒๕๒๙ นายแอนเดรแอส ปาปานดรู (Andreas Papandreou) นายกรัฐมนตรีกรีซ เดินทางเยือนไทยอย่างไม่เป็นทางการ
- วันที่ ๒๙ – ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๖ นางเวอร์จิเนีย ซูเดอรู (Virginia Tsouderou) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ
- วันที่ ๑ – ๒ มีนาคม ๒๕๓๙ นายอาคิส โซชัทซูปูลอส (Akis Tsochatzopoulos) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกรีซ เป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีกรีซเดินทางมาร่วมการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ ๑
- วันที่ ๕ – ๗ เมษายน ๒๕๓๙ นายแอนเดรแอส ปาปานดรู (Andreas Papandreou) นายกรัฐมนตรีกรีซเยือนไทย
- วันที่ ๘ – ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ นายทีโอโดรอส ปานกาลอส (Theodoros Pangalos) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกรีซเยือนไทยอย่างเป็นทางการ
- วันที่ ๒๙ – ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๐ นายอเล็กซานดรอส ฟิลอน (Alexandros Philon) ปลัดกระทรวงการต่างประเทศกรีซและภริยาเยือนไทย
- วันที่ ๒๒ – ๒๖ เมษายน ๒๕๔๑ นายคอนสแตนตินอส เจ อิฝราคิส (Constantinos J. Ivrakis) รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศกรีซเดินทางเยือนไทย
- วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๔๔ นายกริกอริส นิโคติส (Grigoris Niotis) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศกรีซ เยือนไทย
- วันที่ ๓ และ ๘ มีนาคม ๒๕๔๕ นายคอนแสตนตินอส ซิมิติส (Constantinos Simitis) นายกรัฐมนตรีกรีซแวะเยือนไทย (transit) ก่อนการไปเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ
- วันที่ ๙ – ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๗ นายดิมิทริส อวารามูปูลอส (Dimitris Avramopoulos) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวกรีซ เยือนไทย
- พฤศจิกายน ๒๕๔๗ นายนิคอส ซัทซิโอนิส (Nikos Tsatsionis) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการเขตมาซิโดเนียและเทรซ เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อขอเสียงสนับสนุนให้กรีซเป็นเจ้าภาพจัดงานเอ็กซ์โป ในปี ๒๕๕๑
- วันที่ ๒๕ - ๒๗ กุมภาพันธ์ และ ๑ - ๕ มีนาคม ๒๕๕๐ นาย Konstantinos Simitis อดีตนายกรัฐมนตรีกรีซ เดินทางเยือนไทย
- วันที่ ๑๓ - ๑๖ เมษายน ๒๕๕๐ นาย Michael Liapis รมว.คมนาคมกรีซและนาย Georgios Tzoulas ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกรีซ เยือนไทย

ประเทศรัสเซีย หรือ สหพันธรัฐรัสเซีย


ข้อมูลการท่องเที่ยวประเทศรัสเซีย


ข้อมูลทั่วไป: ประเทศรัสเซีย หรือ สหพันธรัฐรัสเซีย (Russian Federation) มีกรุงมอสโก (Moscow) เป็นเมืองหลวงของประเทศ

ที่ตั้ง: รัสเซียเป็นประเทศที่มีอาณาบริเวณตั้งแต่ทางตะวันออกของ ทวีปยุโรป ไปจนถึงทางเหนือของทวีปเอเชีย ซึ่งมีพรมแดนติดกับ 14 ประเทศ ทั้งยังเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก (มีขนาดเป็นสองเท่าของอันดับสอง คือ ประเทศแคนาดา) แต่เดิมประเทศรัสเซียเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด รวมถึงเป็นประเทศมีอิทธิพลที่สุดของโซเวียตอีกด้วย

การขอวีซ่า
เอกสารที่ท่านจะต้องเตรียม
1. รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ
2. หนังสือเดินทางของท่านที่มีอายุอย่างน้อย 6 เดือนหลังวีซ่าหมดอายุ
3. หนังสือรับรองการทำงานจากบริษัท หรือนายจ้าง ซึ่งจะต้องมีการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับงานที่ทำ และจะต้องมีการอนุมัติการลาพักร้อนมาด้วย แต่ถ้าเป็นเจ้าของบริษัทเอง จะต้องแสดงหนังสือจดทะเบียนบริษัทมาด้วย4. เอกสารรับรองห้องพักจากทางโรงแรมในรัสเซีย

- สถานเทูตไทยในรัสเซีย: (Royal Thai Embassy, Moscow) 9 Bolshaya Spasskaya Ulitsa. โทร: (7-095) 208 0817, 208 0856, 208 7283 แฟกซ์: (7-095) 290 9659 (CIS and Russia) (7-502) 222 4739 (จากต่างประเทศ)

- สถานกงสุลไทยในรัสเซีย: สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก: Royal Thai Consulate, 9 Bolshoy Prospekt, St. Petersburg โทร: (7-812) 325 6271, 323 2538 แฟกซ์: (7-812) 325 6313

- สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ กรุงเยเรวาน ประเทศอาร์เมเนีย: Royal Thai Consulate, 8 Amiryan St. Yerevan, Armenia โทร: (3742) 560 410 แฟกซ์: (3742) 151 757

ภาษาที่ใช้: ภาษาทางราชการ คือ ภาษารัสเซีย และใช้ภาษาอังกฤษ กับภาษาเยอรมันในการติดต่อทางธุรกิจ ส่วนในแต่ละรัฐ ก็จะใช้ภาษารัสเซีย และภาษาท้องถิ่นของตนเองเป็นภาษาราชการ

สภาพอากาศ: เขตภูมิอากาศที่มีความหลากหลาย และแตกต่างระหว่างกันอย่างยิ่ง ทำให้ประเทศรัสเซียมีฤดูหนาวที่ยาวนาน อากาศหนาวจัด รวมทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ถูกปกคลุมด้วยหิมะเป็นเวลานานถึง 6 เดือนกันเลยทีเดียวนอกจากนี้ ระยะเวลาที่เหมาะสมในการติดต่อทางธุรกิจและราชการกับชาวรัสเซียคือ ตั้งแต่เดือน กันยายนถึงกลางเดือนธันวาคม และกลางเดือนมกราคมถึงปลายเดือนมิถุนายน ส่วนช่วงเวลาที่เหมาะกับการท่องเที่ยวของคนไทยคือ ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม

ความแตกต่างของเวลา: ประเทศรัสเซียมีความแตกต่างของเวลาระหว่างตะวันตกและตะวันออก 11 เขตเวลาโดยเวลาของกรุงมอสโกจะช้ากว่าเวลาของกรุงเทพฯ ประมาณ 3 ชั่วโมงในช่วงเดือนเมษายนถึงตุลาคม และจะช้ากว่าบ้านเรา 4 ชั่วโมงในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคมเพราะฉะนั้น นักท่องเที่ยวต่างชาติอย่าลืมปรับเวลาที่นาฬิกาของท่าน เมื่อเดินทางถึงเมืองมอสโกด้วย

ค่าเงิน และการธนาคาร: รัสเซียใช้เงินสกุล รูเบิล (ruble: RUR) โดยมีอัตราแลกเปลี่ยน 1 RUR เท่ากับประมาณ 1.40 บาทไทย

การเดินทาง: ถ้านักท่องเที่ยวต้องการเดินทางจากไทยเข้าสู่รัสเซีย มีจุดเดินทางเข้าประเทศอยู่ 3 แห่งด้วยกันนะคะ คือ ที่กรุงมอสโก (Moscow) นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St. Petersburg) และเมืองวลาดิวอสต๊อก (Vladivostok) ท่านอาจเลือกโดยสารเครื่องบินเพื่อเดินทางเข้าไปยังจุดเข้าประเทศต่างๆ ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดหมายปลายทางของท่านเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องเดินทางไปรัสเซียฝั่งยุโรป ควรต้องเข้ารัสเซียทางกรุงมอสโก หรือ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดยใช้เส้นทางกรุงเทพ-มอสโก แต่หากผู้เดินทางมีธุระกับรัสเซียฝั่งเอเชีย ขอแนะนำให้บินจากกรุงเทพฯ เข้าประเทศที่เมือง วลาดิวอสต๊อก ได้เลยนะคะ แล้วจึงต่อเครื่องบินของสายการบินภายในประเทศ ไปยังเมืองปลายทางของท่านได้โดยไม่อ้อมและเสียเวลาด้วย

ส่วนการเดินทางภายในเมืองนั้น ประเทศรัสเซียมีรถยนต์โดยสาร รถไฟใต้ดิน รถรางไฟฟ้า ส่วนรถแท็กซี่มีจำนวนน้อยและมีราคาค่อนข้างแพง

ระบบโทรศัพท์: รหัสโทรศัพท์ของประเทศรัสเซียคือ +7 หากนักท่องเที่ยวต้องการโทรศัพท์ไปต่างประเทศ: กด 8 รอสัญญาณ ตามด้วย 10 + รหัสประเทศ + รหัสเมือง + หมายเลขที่ต้องการโทรออก

หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ:
1. ไฟไหม้: 01
2. ตำรวจ: 02
3. รถพยาบาล: 03
4. โรงพยาบาล: American Medical Center 933 7700 European Medical Center 956 7999, 251 6099
5. บัตรเครดิตหาย: 755 9001 (American Express), 956 3556 (Visa, Masters, Diners)
6. เรียกแท็กซี่: Central Moscow Bureau 927 0000-9


ข้อแนะนำพิเศษ: ในกรุงมอสโกและเมืองใหญ่ๆ มักจะมีกลุ่มมิจฉาชีพ ส่วนมากเป็นคนเชื้อสายยิปซี จึงควรระมัดระวังรักษาทรัพย์สินของท่านทั้งในบริเวณสถานที่ท่องเที่ยวและตามที่สาธารณะทั่วไปด้วย

อาหารท้องถิ่น: อาหารที่เป็นที่นิยมของชาวรัสเซียนจะเป็นพวก ซุปกะหล่ำแบบดั้งเดิม (Shchi) ซุปบีทรูท (Borsch) สลัดมันฝรั่ง (Stilichnii) สตูว์หมู (Azu) เนื้อตุ๋นในครีมเข้มข้น (Beef Stroganoff) ฯลฯ หรือจะไปลิ้มลองอาหารแบบคอเคซัสตามร้านอาหาร หรือภัตตาคารภายในที่พักในรัสเซียของท่านก็น่าสนใจนะคะ อาทิ อาหารจอร์เจียน อาหารอาร์เมเนียน และอาหารอัสซูเรียน (อาเซอร์ไบจัน) ที่โดดเด่นด้วยรสชาติเผ็ดร้อนแบบตะวันออก อาหารจานเด็ดของเขาได้แก่ เนื้อแกะ และ เนื้อปลาสเตอร์เจียนค่ะ สำหรับอาหารแป้งประจำชาติของรัสเซียก็คือ แพนเค้ก แพนเค้กที่นี่เป็นได้ทั้งของคาวและของหวานเลยค่ะ ถ้าเป็นของหวานจะมีเอกลักษณ์ตรงแป้งที่เหนียวนุ่มและมีไส้อยู่ข้างใน ซึ่งมีไส้ให้ท่านได้เลือกชิมอย่างหลากหลาย ส่วนอาหารที่แพงที่สุดของประเทศคือ คาเวียร์ หรือไข่ดำจากปลาสเตอร์เจี้ยน นิยมโปะหน้าแพนเค้กกันหากท่านมีโอกาสอย่าลืมไปแวะชิมให้ได้

แหล่งช้อปปิ้ง: สถานที่ช้อปปิ้งสินค้าที่ระลึกจากประเทศรัสเซียอยู่ที่ ถนนคนเดิน อารบัท สตรีท เช่น ตุ๊กตามาทรอชก้า หรือตุ๊กตาแม่ลูกดก แต่ถ้าต้องการสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังของยุโรปยี่ห้อต่างๆ ต้องไปที่ห้างสรรพสินค้ากุม (GUM)

เดินโต๋เต๋ อ่าวมะนาว ประจวบคีรีขันธ์


เดินโต๋เต๋ อ่าวมะนาว ประจวบคีรีขันธ์

ขึ้นชื่อว่า "ประจวบคีรีขันธ์" หลายคนคงคิดถึง หัวหิน ชายหาดอันเงียบสงบเมื่อครั้งวันวาน หรือ แหล่งท่องเที่ยวใหม่สุดอินเทรนด์ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ประจวบคีรีขันธ์ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ให้ไปสัมผัสอีกเพียบ! ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมจะขอพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวอ่าวสุดฮิปของคนประจวบฯ นั่นก็คือ "อ่าวมะนาว" หาดทรายสวยๆ น้ำทะเลใสๆ อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นี่เอง …

"อ่าวมะนาว" อยู่ในเขตกองบิน 53 กองทัพอากาศ ตำบลเกาะหลัก อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นหาดสะอาด มีธรรมชาติสวยงาม เหมาะแก่การเล่นน้ำเพราะทะเลไม่ลึก หรือจะเดินเล่นริมชายหาดกินลมชมวิวก็ไม่มีใครว่า ตรงข้ามกับหาดเป็น เขาล้อมหมวก ยามน้ำลดจะปรากฏสันทรายทอดยาวให้เดินไปเที่ยวชมได้

บนยอดเขาล้อมหมวกประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง เชิงเขามี ศาลเจ้าพ่อเขาล้อมหมวก และเป็นที่ตั้งของ เขตอนุรักษ์พันธุ์ค่างแว่น นอกจากนี้ "อ่าวมะนาว" ยังเคยเป็นยุทธภูมิในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างกองทัพไทยและกองทัพญี่ปุ่น

ปัจจุบันภายในกองบินจะเห็น "อนุสาวรีย์วีรชน" รูปทหารอากาศในชุดนักบินยืนอยู่บนใบพัดเครื่องบิน ถือธงหันหน้าออกทะเล และยังมี "อุทยานประวัติศาสตร์กองบิน 53" โดยจะเห็นแท่งหินขนาดใหญ่แกะสลักจำลองฉากการต่อสู้ระหว่างกองทัพไทยกับ ญี่ปุ่น ทั้งนี้ บริเวณอ่าวมะนาวทุกปีจะมีการจัดงานวันรำลึกวีรกรรม 8 ธันวาคม 2484 นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปพักผ่อนและเล่นน้ำที่ชายหาดได้ตลอด เพราะมีร้านอาหาร สโมสร และบ้านพักไว้คอยบริการหลายแบบ ทั้งแบบทาวเฮาส์ คอนโดมิเนียม

สำรองห้องพัก โทร. 0-3266-1087-8, 0-3261-1017, 0-3266-1031 ต่อ 60464, 60465, 60484 (จองล่วงหน้า 1 เดือน) ในกรณีที่เข้าพักเป็นหมู่คณะควรทำหนังสือแจ้งล่วงหน้าด้วยนะคะ
การเดินทาง

รถยนต์ จากเทศบาลเมืองประจวบฯ ไปทางทิศใต้ตามถนนสละชีพ ถึงสามแยกเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3167 ผ่านสนามบินกองบิน 53 ถึงอ่าวมะนาว ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร หรือ จากอ่าวประจวบใช้ถนนเลียบหาด

รถโดยสารประจำทาง ลงรถที่ท่ารถประจวบคีรีขันธ์ แล้วต่อรถจักรยานยนต์รับจ้าง

รถไฟ ลงรถที่สถานีรถไฟประจวบคีรีขันธ์แล้วต่อรถจักรยานยนต์รับจ้าง

หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ

สำนักงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โทร. 0-3260-3991-2

ประชาสัมพันธ์จังหวัด โทร. 0-3260-2019, 0-3255-0149

ที่ว่าการอำเภอเมือง โทร. 0-3261-1153

โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ โทร. 0-3260-1060–4

สาธารณะสุขจังหวัด โทร. 0-3261-1437

สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง โทร. 0-3261-1148

สถานีรถไฟประจวบคีรีขันธ์ โทร. 0-3261-1175

ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อบจ. โทร. 0-3261-1491

ตำรวจทางหลวง โทร. 1193

ตำรวจท่องเที่ยว โทร. 1155

ดาวอังคาร ใกล้โลก 28 ม.ค.


ดาวอังคาร ใกล้โลก 28 ม.ค.
ดาวอังคารใกล้โลก"28ม.ค. (ข่าวสด)

นายบุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า ในค่ำคืนวันที่ 28 ม.ค. นี้ จะมีปรากฏการณ์ ดาวอังคารจะโคจรเข้ามาใกล้โลกมากที่สุด ซึ่งในคืนวันนั้น ดาวอังคารที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า จะสุกสว่างสดใสเป็นพิเศษ มองเห็นเป็นสีส้มแดง หากต้องการจะดูดาวอังคารในวันนั้น ก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ จะมองเห็นดาวอังคารได้ โดยจะเป็นดาวที่มีสีแดงส้ม ไม่กะพริบเหมือนดาวดวงอื่น ๆ ซึ่งจะนับว่า เป็นเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ที่น่าสนใจอีกเหตุการณ์หนึ่ง

"การโคจรเข้ามาใกล้โลกครั้งนี้ ดาวอังคารจะเข้ามาใกล้โลกขึ้นอีก 99 ล้านกิโลเมตร จะทำให้เราสามารถมองเห็นดาวอังคารได้สว่างกว่าที่เคยเห็น ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะไม่ได้เข้ามาใกล้เหมือนครั้งก่อน แต่ก็จะทำให้เรามองเห็นดาวอังคารได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งหลังจากเหตุการณ์วันที่ 28 ม.ค.แล้ว ตลอดปีนี้ คงยังไม่มีปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่น่าตื่นเต้นอะไรมากนัก นอกเสียจากว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรเกิดขึ้น ดังนั้น จึงอยากเชิญชวนทุกคนร่วมดูปรากฏการณ์ทั้งสองอย่างนี้ด้วยกัน" นายบุญรักษากล่าว

สำหรับเวลาที่เหมาะในการดูดาวอังคารคือ 01.44 น. และให้สังเกตบริเวณกลุ่มดาวปู ปรากฏการณ์ครั้งนี้ เหมาะแก่การศึกษาสภาพพื้นผิวและชั้นบรรยากาศ รวมทั้งดวงจันทร์ที่เป็นบริวารของดาวอังคารเป็นอย่างมาก ควรใช้กล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กในการสังเกตการณ์ เพื่อให้ได้อรรถรสในการชมปรากฏการณ์ครั้งนี้ดียิ่งขึ้น

ไฝบนในหน้า บอกอะไรคุณ


ไฝบนในหน้า บอกอะไรคุณ
หากอยากรูว่าไฝ บนใบหน้าของคุณ มีความหมายอย่างไรในแง่โหราศาสตร์ ลองติดตามดูค่ะ

บุคคลใดที่มีไฝสีดำตรงกลางระหว่างหน้าผาก บุคคลนั้นมักจะได้รับอันตรายอยู่เนืองๆ และมักจะเสียชีวิตด้วยความยากลำบาก หรืออุบัติเหตุ

บุคคลใดมีไฝสีน้ำตาลตรงกลางระหว่างหน้าผาก มักจะเป็นคนขี้โรค เจ็บป่วยอยู่เนืองๆ

บุคคลใดที่มีไฝที่คิ้วข้างซ้าย ผู้นั้นมักจะประสบความสำเร็จ และมีความสุขในชีวิต เมื่อมีอายุเลย วัยกลางคนไปแล้ว

บุคคลใดมีไฝที่คิ้วข้างขวา บุคคลนั้นมักเป็นผู้มีโชคลาภดี และมีความสุขในชีวิตครอบครัว

บุคคลใดมีไฝที่หนังตาข้างขวา บุคคลนั้นจะไม่ยากจน เป็นผู้มีโชคลาภดี แต่มักจะได้รับความ เดือดร้อน และเสียชื่อเสียงเพระคนรับใช้ คนในครอบครัว หรือบริวารไม่ซื่อสัตย์

บุคคลใดมีไฝใต้ดวงตาข้างซ้าย หากเป็นหญิงจะเป็นผู้ที่ได้รับความเสียใจ สูญเสีย หรือถูกรังแก เอาเปรียบจากผู้ชายหลายครั้ง

บุคคลใคมีไฝตรงขมับขวา ผู้นั้นมักจะเป็นคนโกรธง่าย ใจน้อย โลเล ตัดสินใจช้า และมีความ สมบูรณ์พูนสุขหลังวัยกลางคน

บุคคลใดมีไฝบริเวณแก้มข้างขวา หากเป็หญิงมักจะเป็นคนมีเสน่ห์ เป็นที่ชื่นชอบของชายทั่วไป จะทำงานได้ดีเมื่อทำงานร่วมกับเพศตรงข้าม มีความสุขในชีวิตครอบครัวเป็นอย่างดี

บุคคลใคมีไฝ 2 เม็ด บริเวณแก้มขวา บุคคลนั้นมักจะแต่งงาน 2 ครั้ง

บุคคลใคมีไฝ 2 เม็ด บริเวณแก้มซ้าย มักจะประสบความล้มเหลวในชีวิตครอบครัว (ยิ่งมีไฝ บริเวณนี้มากก็ยิ่งร้ายแรง) และให้ระวังอันตรายจากการเดินทาง ทางน้ำหรือเดินทางต่างเมือง

บุคคลใดมีไฝบริเวณแก้มทั้ง 2 ข้าง มักจะเป็นผู้ร้อนใจในความรัก ครอบครัว มีความต้องการทาง เพศสูง แต่จะมีความสุขในชีวิตครอบครัวดีโดยเฉพาะเมื่อสูงอายุ

บุคคลใดมีไฝบริเวณข้างซ้ายของปาก มักเป็นคนร่าเริงชอบสนุกสนาน ชอบงานรื่นเริง งานสังคม ดนตรี แต่เป็นคนนิสัยดี คบได้

บุคคลใดมีไฝบริเวณข้างขวาของปาก จะมีความสุขในชีวิตแต่งงาน มีลูกมาก และอายุยืน

บุคคลใดมีไฝที่ริมฝีปากบน หากเป็นสตรีจะมีฐานะปานกลางถึงดี แต่จะมีความใคร่มาก หากเป็น บุรุษจะเป็นคนฉลาด มีสติปัญญา

บุคคลใดมีไฝที่ริมฝีปากด้านล่าง มักจะมีมารยาเล่ห์เหลี่ยมในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แต่เมื่อแต่งงานแล้ว จึงจะดี (เลิกไป) มักจะจากบ้านเกิดไปอาศัยที่อื่น หรือโยกย้ายเดินทางไกลเสมอ