วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ไปปาร์ตี้แบบไม่มีอ้วน (first)

แหม . . . ใครอ่านหัวข้อก็คงจะสงสัยกันว่าเอ . . . ไปปาร์ตี้มีหรือที่จะไม่อ้วน ทั้งอาหาร ทั้งเครื่องดื่ม แถมคำชักชวนจากเพื่อนฝูงที่ให้ กิน กิน กิน ดื่ม ดื่ม ดื่ม อีก กลับมามีแต่ท้องเผละทุกราย

ซึ่ง มันก็ถูกต้องแล้ว ถ้าเราอยู่ในงานปาร์ตี้แล้วทั้งกินทั้งดื่มโดยไม่สนใจในรายละเอียดอะไร วันรุ่งขึ้นคุณก็จะได้ของแถมเป็นน้ำหนักอย่างแน่นอน แต่ถ้าเราใส่ใจใจรายละเอียดสักหน่อย เชื่อแน่ว่า นอกจากสนุกสนานกับปาร์ตี้แล้ว รุ่งขึ้นก็ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจกับน้ำหนักที่พุ่งขึ้นมาอย่างแน่นอน

สำหรับใครที่สนใจ ง่ายๆ เลย แค่ปฏิบัติตามนี้ . . .

แอลกอฮอล์ดื่มได้แต่ควรพอประมาณสัก 1-2 แก้ว ต่อมื้อสำหรับผู้ชาย ผู้หญิงก็แก้วเดียวพอให้ร่างกายได้กระชุ่มกระชวย หรืออย่างที่เรียกว่าพอเป็นกระษัย ไม่ใช่เมามายจนคายของเก่าออกมา

ถ้าจะให้ดีก็เลือกดื่มน้ำผักหรือน้ำผลไม้ไปเลยอาจจะดูเชยหน่อย ไม่เท่ แต่ก็เก๋อย่าบอกใคร สำหรับการเป็นหนุ่มหรือสาวรักสุขภาพแต่อยากสังสรรค์ ก็ควรเลือกแบบคั้นสด หรือชนิดที่มีกากใยอยู่ด้วย เพราะร่างกายจะได้ประโยชน์จากกากใย โดยปรับระบบขับถ่ายในร่างกายให้ดีขึ้น

สำหรับอาหารในงานปาร์ตี้ ควรเลือกทานแต่เมนูเพื่อสุขภาพ เช่น อาหารที่มีเนื้อปลาเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากในเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย

หากทานปลาไม่ได้ ก็เลือกทานแต่โปรตีนติดหนัง เพราะอาจสะสมเป็นไขมันในเวลาต่อมาโดยไม่จำเป็น ที่สำคัญหลีกเลี่ยงแป้งอย่างเด็ดขาด

ผลไม้ ก็ถือเป็นตัวเลือกในงานปาร์ตี้ที่เยี่ยมยอด แต่ควรเลือกกินแบบสดอย่างส้ม ชมพู่ ฝรั่ง มะม่วง หรือแอปเปิ้ล ใน 1 มื้อจะกินหมดลูกในคราวเดียวก็ทำได้ ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด

แต่ไม่ควรเลือกผลไม้ชนิดที่มีความหวานสูง อาทิ ข้าวเหนียวทุเรียน สละลอยแก้ว เพราะมีน้ำตาลสูง และเป็นเหตุให้โรคพิเศษบางโรคอย่างเบาหวานกำเริบได้ ซึ่งจะทำให้หมดสนุก

ที่สำคัญ ขอให้เน้นการควบคุมจิตใจและมือไม่ให้ตามใจปาก เพราะบางครั้งการกินทองหยิบฝอยทอง เพียงไม่กี่ชิ้นเพราะคิดว่าไม่เป็น นาน ๆ ครั้งให้รางวัลกับตัวเองบ้าง ก็อาจต้องมานั่งกุมขมับหลังจากปาร์ตี้จบ เพราะหน้าท้องบวมขึ้นอีกแล้ว

แต่ก็มีอีกทางเลือกเหมือนกันสำหรับคนที่อดใจไม่ไหว ก็ทานไปเถอะ ทานให้พออิ่ม ไม่ใช่ทานเพราะความอยาก เสร็จแล้วก็โยกย้ายส่ายสะโพก เต้นออกกำลังกายตามเสียงเพลงในงานไปซะเลย

บริหารกาย คลายท้องผูก

คลายท้องผูกด้วย 2 ท่าทำแสนง่าย..ไม่ต้องพึ่งยาถ่าย

ขั้นที่ 1

นอนหงายกับพื้น มือทั้งสองวางรองไว้ใต้ศีรษะ ขาทั้งสองวางชิดกัน แล้วยกขึ้นช้า ๆ ให้ตั้งฉากกับลำตัว นับ 1-10 แล้วค่อย ๆ วางลง ทำซ้ำ 6 ครั้ง

ขั้นที่ 2

มือทั้งสองกางออกข้างลำตัว แล้วค่อย ๆ ยกขาขึ้นตั้งฉากกับลำตัว วางขาทั้งสองลงด้านข้างทางขวา นับ 1-5 ยกขึ้นตั้งฉาก แล้วสลับทำอีกข้าง จากนั้นค่อย ๆ วางขาทั้งสองลงบนพื้น ผ่อนคลายสักครู่ แล้วทำซ้ำ 3-5 ครั้ง

บอกลาโคเลสเตอรอลด้วยอาหาร

ไม่ว่าใครก็ตามที่กำลังมีปัญหา "โคเลสเตอรอล" สูงฟังทางนี้เลย เพราะเราสามารถลดระดับ "โคเลสเตอรอล" ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดแดงอุดตัน และโรคหัวใจขาดเลือด ได้ง่ายแสนง่าย เพียงแค่เลือกทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเท่านั้น เอ้า...อยากรู้ว่า ควรจะทานอะไร อย่างไรดี จึงจะช่วยป้องกันและลดระดับ "โคเลสเตอรอล" ในเลือดได้ วันนี้เรามีข้อมูลดี ๆ มากระซิบบอกกัน


1. ทาน "โคเลสเตอรอล" ไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม

ไข่แดงเอย เครื่องในเอย ไขมันสัตว์เอย ล้วนเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วย "โคเลสเตอรอล" แน่นอนว่า อาหารเหล่านี้เป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน จะให้ห้ามทานเลยอาจดูใจร้ายไปเสียหน่อย แต่หากหลีกเลี่ยงได้ หรือทานในปริมาณที่น้อยเข้าไว้ ไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม จะดีที่สุด หรือหากใครชอบทานไข่มาก ก็แนะนำให้ทานเฉพาะไข่ขาว เพราะไข่ขาวไม่มีโคเลสเตอรอล ที่จะทำให้ระดับ "โคเลสเตอรอล" สูงขึ้น

2.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง

ไม่ว่าจะเป็น กะทิ ไขมันจากสัตว์ เนื้อสัตว์ติดมัน หรือไขมันทรานส์ ที่มีมากในเนยขาว เนยเทียม ครีมเทียม อาหารฟาสต์ฟู้ด คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบ อาหารเหล่านี้มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงทั้งนั้น หากรับประทานเข้าไปมาก ๆ จะทำให้ระดับ "โคเลสเตอรอล" สูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย และเมื่อระดับ "โคเลสเตอรอล" สูงขึ้นเมื่อไร โรคหัวใจมาเคาะประตูถามหาถึงหน้าบ้านแน่นอน

3.ทานอาหารจำพวกเส้นใย หรือไฟเบอร์ให้มาก ๆ

รู้ไหมว่าอาหารที่มีเส้นใย หรือไฟเบอร์มาก ๆ อย่าง ข้าวโอ๊ต ถั่ว แอปเปิ้ล ลูกพรุน มะเขือเทศ กระเจี๊ยบ ฯลฯ เส้นใยในอาหารเหล่านี้ จะไปช่วยดูดซับโคเลสเตอรอลที่ปนอยู่ในน้ำดีในลำไส้ ทำให้สามารถผลักดัน "โคเลสเตอรอล" ออกไปจากร่างกายพร้อมกับอุจจาระได้โดยง่าย

4.ทานปลาทะเล

โอเมกา-3 จากปลาทะเล ถือเป็นสุดยอดอาหารช่วยลดไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ในเส้นเลือด แถมยังลดโอกาสในการเกิดภาวะเลือดจับตัวกันเป็นลิ่ม หรือที่เรียกว่าอุดตันในเส้นเลือดได้อีก คุณสมบัติเหล่านี้จึงช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อย่างดี รู้อย่างนี้แล้วก็อย่ามองข้ามปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ฯลฯ ไปเสียล่ะ

5. ทานอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงโดยสม่ำเสมอ

อย่าเพิ่งขมวดคิ้วทำหน้าสงสัยว่า การทานอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงแล้ว จะช่วยลด "โคเลสเตอรอล" ได้อย่างไร เชื่อเถอะว่า หลายคนยังไม่ทราบว่า อาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงนี่แหละ อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นอย่างกรดไลโนเลอิค และกรดอัลฟาไลโนเลอิค ซึ่งจะช่วยให้ "โคเลสเตอรอล" มีการเผาผลาญที่ตับมากขึ้น จึงช่วยลดปริมาณ "โคเลสเตอรอลชนิดไม่ดี" หรือ LDL ได้อย่างดีเยี่ยม ที่สำคัญยังช่วยเพิ่ม "โคเลสเตอรอลชนิดดี" หรือ HDL ไปพร้อม ๆ กันด้วย

ปรับสมดุลให้สุขภาพ (Health plus)

ได้เวลาสุขภาพดีกันอีกแล้ว ด้วยหลักการแพทย์แผนจีนโบราณที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า เจนนิเฟอร์ ฮาร์เปอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด (Naturopathic Healing) บอก

ตามหลักการแพทย์แผนจีนโบราณระบุว่า ฤดูกาลแต่ละฤดูมีส่วนสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพที่ต่างกันไป บ้านเราเป็นเมืองร้อน หน้าร้อนจึงยาวนานกว่าทุกฤดู และเกี่ยวข้องกับธาตุไฟ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับความร้อนส่วนเกินในร่างกาย เช่น เป็นไข้ นอนไม่หลับ และการสูญเสียน้ำ อวัยวะของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับหน้าร้อนคือ หัวใจและลำไส้เล็ก โรคเหล่านี้จะกำเริบขึ้น หากร่างกายมีความร้อนส่วนเกิน ซึ่งนำไปสู่ความเครียดและโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารและปัจจัยที่ทำให้เกิดความร้อน การทานอาหารเบาๆ และเย็น จะช่วยปรับสมดุลร่างกาย

ทานผัก

รสชาติที่สัมพันธ์กับหน้าร้อนคือ รสขม ดังนั้นจึงควรทานผักใบเขียวมากๆ ซึ่งอุดมด้วยเกลือแร่ แคลเซียม ซิลิคอน และแมกนีเซียม เชื่อกันว่าผักช่วยระงับธาตุไฟในร่างกาย รสขมมีคุณสมบัติเด่นในการล้างพิษ ผักสลัดฝรั่งเป็นอาหารชั้นยอด อุดมด้วยสารอาหารที่ช่วยล้างสิ่งสกปรกในเลือด และเนื่องจากเป็นผักที่มีน้ำมาก จึงช่วยขับปัสสาวะ หน่อไม้ฝรั่ง ผักกาดเขียว ผักชีฝรั่ง และแดนดิไลอัน ก็เป็นอีกทางเลือดที่ดี ทานสลัดจานเล็กๆเป็นเครื่องเคียงคู่กับอาหารจานหลัก ก็เป็นวิธีที่ดีที่ช่วยให้คุณได้ทานอะไรที่เขียวและสดทุกวัน

สุดยอดผลไม้

เบอร์รี่ เช่น เรดเคอร์แรนท์ , สตรอว์เบอร์รี่ , แบล็กเคอร์แรนท์ , ราสป์เบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ มีวิตามินแอนตี้ออกชิแดนท์ช่วยกำจัดสารพิษและฟลาโวนอยด์ เสริมสร้างภูมิต้านทาน ทำให้ผิวเนียนเรียบและกระชับ ทานเบอร์รี่ราดโยเกิร์ตรสธรรมชาติวันละชาม เป็นของหวานเพื่อสุขภาพแสนอร่อย

นวดกดจุดให้สมองแจ่มใส

จุดฝังเข็มที่สัมพันธ์กับลำไส้เล็กอยู่ตรงขอบด้านนอกของมือ ประมาณ 1 นิ้วมือวัดจากฐานนิ้วก้อย อยู่ใต้ข้อต่อลงไป ใช้นิ้วมือข้างหนึ่งประคองข้อมืออีกด้านเอาไว้ แล้วใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้กดที่จุดดังกล่าวให้แน่นนาน 1 นาที จะช่วยไล่ความชื้นส่วนเกินในลำไส้เล็ก ทำให้สมองปลอดโปร่ง

สมุนไพรช่วยได้

ชาคาโมไมล์และชาสะระแหน่ช่วยกำจัดความร้อนส่วนเกินออกจากร่างกายและลดอาการปวดเกร็ง หากมีอาการท้องอืดหลังทานอาหาร ให้เคี้ยวเมล็ดยี่หร่า เพื่อลดอาการท้องบวม กระเทียมช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียที่ดีในลำไส้เล็ก จึงควรเติมกระเทียมในอาหารมากๆ เพื่อบรรเทาความผิดปกติที่เกิดกับระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องผูก

กลิ่นหอมจรุงใจ

น้ำมันหอมระเหยมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบและล้างพิษเหมาะเป็นอย่างยิ่ง เติมในน้ำอุ่นสำหรับอาบ 2-3 หยด หรือหยดในตะเกียงน้ำมันหอมระเหย แล้ววางไว้ในห้องนอน จะช่วยให้จิตใจเย็นสบายและผ่อนคลาย ลองน้ำมันหอมระเหยกลิ่นสวีทออเรนจ์ที่หอมเย้ายวน กลิ่นมาร์โจแรน(marjoram) ช่วยให้รู้สึกสุขุมเยือกเย็น กลิ่นคาโมไมล์ ช่วยผ่อนคลาย และกลิ่นไซเพรสช่วยล้างพิษ

นวดหน้าท้อง

ช่องท้องที่แข็งแรงควรรู้สึกนุ่มเรียบสม่ำเสมอ เคลื่อนไหวแผ่วๆ เวลาใช้มือกดเบาๆ แต่ถ้าช่องท้องเต็มไปด้วยสารพิษ คุณจะรู้สึกท้องอืด หน้าท้องไม่กระชับ นวดเบาๆ บริเวณท้องน้อยจะช่วยบรรเทาอาการอึดอัดและทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น วิธีนวดง่ายๆ คือให้ใช้มือลูบเบาๆ บนท้องน้อย กดเบาๆ บริเวณที่รู้สึกแน่น

เผยโรคอันตราย 15 โรครับฤดูฝน

ขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝน สภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้โรคหลายชนิดสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็วนั้น ล่าสุดนายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลทุกแห่ง จับตาเป็นพิเศษตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2553 เป็นช่วง 90 วันอันตราย โดยโรคที่ต้องติดตามต่อเนื่อง 2 โรคคือ โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 และ โรคไข้หวัดนก เพราะหากมีโรคนี้เกิดขึ้นในฤดูฝน เชื้ออาจมีการผสมข้ามสายพันธุ์ได้ ดังนั้น กรมควบคุมโรคได้ออกประกาศเตือนประชาชนในการป้องกันโรคติดต่อ ที่มักเกิดขึ้นในฤดูฝน โดยมี 5 กลุ่มรวม 15 โรค ได้แก่...

1. กลุ่มโรคติดต่อทางน้ำและอาหาร ที่พบบ่อยคือ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ ตับอักเสบสาเหตุเกิดจากกินอาหาร ดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน หรือกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ

2. กลุ่มโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ที่พบบ่อยคือ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบหลอดลมอักเสบ และโรคปอดบวม โดยเฉพาะโรคปอดบวมนั้นมีอันตรายอาจถึงชีวิตได้ อาการเริ่มจากไข้ ไอ หายใจเร็วหรือหอบเหนื่อย

3. กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง ที่พบบ่อยคือ โรคเลปโตสไปโรซิสหรือไข้ฉี่หนู อาการเด่น ๆ ของโรคนี้คือ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะมักปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง และตาแดง

4. กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุงที่สำคัญ 3 โรค ได้แก่ ไข้เลือดออกมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งกว่าร้อยละ 80เป็นยุงลายที่อยู่ในบ้านไข้สมองอักเสบ เจ อี (Japanese Encephalitis) มียุงรำคาญซึ่งมักแพร่พันธุ์ตามแหล่งน้ำในทุ่งนาเป็นตัวนำโรค และโรคมาลาเรีย มียุงก้นปล่องที่อยู่ในป่าเป็นพาหะนำโรค ทั้ง 3 โรคนี้อาการเริ่มจากมีไข้สูงปวดศีรษะมาก คลื่นไส้อาเจียน โดยเฉพาะโรคไข้สมองอักเสบ อาจทำให้พิการภายหลังได้

5. กลุ่มโรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ใน น้ำสกปรก กระเด็นเข้าตา

นอกจากนี้ ยังมีโรคน้ำกัดเท้า ที่เกิดจากเชื้อรา ซึ่งเกิดจากการเดินลุยน้ำสกปรกนาน ๆ หรือต้องแช่น้ำ เดินลุยน้ำท่วมขังในช่วงที่มีฝนตกหนัก ถูกสัตว์มีพิษกัด ต่อย เช่น งู ตะขาบ แมงป่องที่หนีน้ำท่วมมาอาศัยในบ้านเรือน และโรคอาหารเป็นพิษจากกินเห็ดพิษที่ขึ้นเองตามธรรมชาติในป่า ในสวน ซึ่งพบในช่วงฤดูฝนทุกปี

9 เทคนิคฝึกสมองคิดสร้างสรรค์

เฮ้อ...เดี๋ยวนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนเครียด ๆ ความเครียดเนี่ยนะไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ แถมยังเป็นเรื่องที่ควบคุมยากซะด้วย..แล้วเมื่อไหร่ที่เครียด สมองก็จะตื้อไปหมด คิดอะไรไม่คล่องทุกที วันนี้เราเลยเสาะหาเทคนิคดี ๆ ในการฝึกสมองให้คิดอย่างสร้างสรรค์มาฝากกัน ทีนี้ไม่ว่าจะเครียดแค่ไหนก็สบายหายห่วงค่ะ

สมองของคนเรานั้นมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 85% ของเซลล์สมอง ฉะนั้นให้ดื่มน้ำให้บ่อย ๆ เพราะถ้าร่างกายของเราขาดน้ำ จะส่งผลให้สมองของเราคิดสิ่งต่าง ๆ ได้ช้าหรืออาจจะคิดไม่ออกเลย

สมองก็คือก้อนไขมัน จึงจำเป็นต้องได้รับไขมันดีเข้าไป เพื่อช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ จึงควรกินไขมันดี หรือโอเมก้า 3 ซึ่งก็มีมากในปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง น้ำมันปลา เพื่อบำรุงสมองน้อย ๆ ของเราค่ะ

ฝึกนั่งสมาธิ เพื่อให้สมองได้ผ่อนคลาย ทำให้เราเกิดปัญญา และมีสติในการคิดสิ่งต่าง ๆ อย่างสร้างสรรค์

ตั้งใจจริง การที่เราตั้งใจที่จะทำอะไรอย่างจริงจัง แล้วทำมันอย่างเต็มที่เต็มความสามารถ เป็นการฝึกสมองรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เราก้าวไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้

พยายามหัวเราะ และยิ้มสู้เข้าไว้ ไม่ว่าสถานการณ์จะย่ำแย่แค่ไหน เพราะเมื่อเราหัวเราะ หรือยิ้มร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดรฟินออกมา ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข จะช่วยให้เราคิด และทำสิ่งดี ๆ

เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งจะทำให้สารเอ็นโดนฟิน และโดปามีน หลั่งออกมา และสารทั้ง 2 ตัวนี้จะไปกระตุ้นให้สมองอยากเรียนรู้ และสร้างสรรค์ในเรื่องต่าง ๆ

เมื่อรู้สึกโกรธ โมโห สมองของเราก็จะเครียดตามไปด้วย เพราะฉะนั้นต้องรู้จักการให้อภัย ทั้งกับตัวเองและให้อภัยผู้อื่น สมองของเราจะได้ไม่เครียดค่ะ

เขียนบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เขียนเรื่องราวที่ดี ๆ เพราะจะช่วยทำให้เราคิดดีตามไปด้วย แถมยังเป็นการช่วยฝึกฝนสมองในการคิดทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราด้วย

ฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จะช่วยในการส่งพลังงานไปยังสมอง และหากเรานั่งทำงานเป็นเวลานาน ๆ ก็ควรลุกขึ้นมาเดินยืดเส้นยืดสาย ผ่อนคลายบ้าง เพราะสามารถทำให้ปอดขยายใหญ่ และรับออกซิเจนได้มากขึ้น 20% ส่งผลให้สมองเราปลอดโปร่งขึ้น สามารถคิดสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น

รู้เทคนิคง่าย ๆ กันไปแล้ว ก็ลองนำไปปฏิบัติดูนะจ๊ะ ทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ อาจจะทำให้กลายเป็นยอดครีเอทีฟชื่อดัง หรือเป็นคนที่มีความอัจฉริยะด้านความคิดที่ใคร ๆ ก็รู้จักไปทั่วก็ได้น้า...

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เมื่อเหล่าสัตว์ในโลกมีแค่ 2 ขา




ในวงการผู้เลี้ยงปลาสวยงาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า "ปลาหมอสี" เป็นปลาที่มาแรงเป็นอันดับต้น ๆ ในบ้านเรา โดยเฉพาะกลุ่ม ปลาหมอสีครอสบรีด เพราะมีลักษณะสีสันสวยงาม และถูกพัฒนาจากฝีมือคนไทยทำให้มีหลายสายพันธุ์ เช่น เทกซัสแดง, ฟลาวเวอร์ฮอร์น, ไตรทอง, กัมฟา ฯลฯ และหนึ่งในความนิยม ปลาหมอสีครอสบรีด ก็มีชื่อของเจ้า ปลาหมอสี ช็อตบอดี้ รวมอยู่ด้วย

ปลาหมอสี ช็อตบอดี้ (Short Body) เป็นปลาที่มีลำตัวสั้นป้อม ด้วยพิการมาแต่กำเนิด มีความผิดปกติของกระดูกสันหลังที่คดงอหรือโค้งไปธรรมชาติ ในทางวิชาการถือว่าเป็นสัตว์แคระ แต่ในวงการปลาสวยงาม รูปร่างที่สั้นแปลกตาได้กลายเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นที่สามารถสร้างมูลค่า และมีผู้นิยมเลี้ยงมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว ความพิการดังกล่าว สามารถเกิดขึ้นได้กับปลาทุกชนิด แต่ก็ไม่ใช่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ และปัจจุบัน ปลาหมอสี ช็อตบอดี้ ก็ไม่ได้เกิดจากความพิการโดยธรรมชาติ หากแต่เป็นการเพาะพันธุ์ขึ้น ตามความพิการที่จัดว่าสวยคือ ตัวสั้น, ครีบไม่บิดเบี้ยว, สีสันสวยตามสายพันธุ์ ดูลำตัวมีองค์ประกอบสมส่วน

ทั้งนี้ ในวงการปลาสวยงาม ได้มีการจำแนกปลาชอร์ต บอดี้ ออกเป็นเกรด แบ่งตามลักษณะความสั้นของตัวปลา โดยปลาที่สั้นมากจนแทบไม่มีข้อหาง หรือบริเวณส่วนหัวหดสั้นกว่าปกติ และไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดคดงอหรือบุบ จะเรียกว่า เบอร์ 0 ซึ่งจะมีราคาขายแพงที่สุด โดยก็มีตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่นบาท ส่วนปลาที่มีข้อหางยาวออกมา จะเรียกว่า เบอร์ 1 ถ้าเลยจากนี้จะมีถือว่าไม่มีราคาแล้ว

สำหรับการเลี้ยงดูปลาหมอสี ช็อตบอดี้ ก็ไม่แตกต่างจากการเลี้ยงปลาหมอสีธรรมดา โดยผู้เลี้ยงจะนิยมเลี้ยงให้อ้วน และท้องป่องมากที่สุด เพราะถือเป็นลักษณะที่สวยที่สุด อย่างไรก็ดี เรื่องที่ต้องเอาใจใส่หลัก ๆ มีอยู่ 3 เรื่องคือ

ตู้เลี้ยงปลา ควรมีขนาดใหญ่พอที่จะให้ปลาได้ว่ายไปมา ให้ได้ออกกำลังและมีสุขภาพดีไม่เกิดความเครียดในสถานที่เลี้ยงจำกัด

อาหาร อาหารต้องดี คือให้อาหารครบหมู่ มีการให้อาหารเม็ดสลับกับอาหารสด เช่น หนอนนก, หนอนแดง, กุ้งฝอย เป็นต้น อาหารจะช่วยเรื่องของสีสันของปลาให้มีสีเข้ม, สีสด

ถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ ควรทำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง การที่น้ำมีความสะอาดอยู่ตลอดจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของปลาด้วย

ลิบง-เจ้าไหม คือลมหายใจและความหวัง (อสท.)




ธเนศ งามสม...เรื่อง
โสภณ บูรณประพฤกษ์...ภาพ

๑. ทะเลงดงามเสมอ ไม่ว่าฤดูกาลใด

ยิ่งในโมงยามนี้ ยามแสงแรกแห่งวันฉายส่อง ทะเลเจ้าไหมทอประกายวามวาว กลุ่มหญิงสาวในเวิ้งอ่าวดูน่ามองราวกับภาพวาด พวกเธอกำลังหาหอยตะเภา หอยรสชาติดีซึ่งมีอยู่ทั่วอ่าวปากเมงนี้ "รอบ ๆ ตัวเรามีหอยหลายอย่าง นอกจากหอยตะเภาแล้วก็มีหอยหวาย หอยลาย หอยชักตีน" น้าพิมเล่า ขณะลูกชายวัยกำลังซนเดินเคียงอยู่ไม่ห่าง

ทั้งน้าพิมและลูกชายมีท่อพิวีซีกันคนละอัน ท่อนี้มีไว้สำหรับปักลงไป ยังรูที่หอยตะเภาอาศัย หากมีตัวหอยจะติดตามท่อขึ้นมาง่าย ๆ "นี่ล่วง ๗ ค่ำแล้ว น้ำเริ่มตาย ถ้าน้ำลงช่วง ๑ ค่ำจะหาได้มากหน่อย มันจะขึ้นมาตามผืนทราย" น้าพิมบอกพลางหยิบหอยตะเภาใส่ตะกร้าหวาย

เช้าวันนั้น ผมเดินตามน้าพิมและกลุ่มหญิงสาวไปทั่วอ่าวปากเมง พวกเธอส่วนใหญ่มาจากบ้านนาหละ หมู่บ้านมุสลิมซึ่งอยู่ริมชายหาด ผู้คนในหมู่บ้านแทบทั้งหมดมีรายได้จากสวนยางพารา ทว่าช่วงนี้เริ่มเข้าฤดูแล้ง ต้นยางกำลังผลัดใบ ต้องหยุดกรีดยางนานร่วม ๒ เดือน "ไม่ได้กรีดยางก็หาหอยหาปลา เราทำอย่างนี้มาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่าแล้ว" ใครบางคนบอกแล้วก็ยิ้มอารมณ์ดี ฟังแล้วชีวิตคนถิ่นนี้ช่างเรียบง่าย คงเพราะมีทะเลเลี้ยงดูพวกเขาให้อิ่มเอมเติบใหญ่ "หอยตะเภานี่ทำอาหารได้แทบทุกอย่าง" ใครบางคนเอ่ย

"นี่ตัวยังเล็ก ปล่อยไว้ให้มันโตน้ำหน้า" น้าพิมยื่นหอยตะเภาตัวขนาดนิ้วโป้งให้ผมดู แล้วปล่อยมันกลับลงทะเล โมงยามนั้น ยามที่แสงแรกแห่งวันฉายส่อง แดดอบอุ่นยิ่งขับใบหน้าของพวกเธอให้ดูอบอุ่น ชวนมอง ทุกคนยิ้มแย้ม พูดคุยกันสบายใจ ทะเลเจ้าไหมเลี้ยงดูผู้คนให้เป็นเช่นนี้
๒. ที่หาดหยงหลิง ชายหาดด้านทิศใต้ของทะเลเจ้าไหม

ใต้เงาสนร่มรื่น หลายครอบครัวปูเสื่อบนชายหาด ใช้เวลาช่วงบ่ายไปกับการเล่นน้ำ พายคายักสีสด พูดคุยกันเงียบ ๆ สบายใจ

หาดหยงหลิงนับว่าสวย จึงมีทั้งคนท้องถิ่นและจากเมืองไกลมาเยือนหนาตา "หยงหลิงเป็นภาษามลายู หยงแปลว่าแหลม หลิงแปลว่ากะลาสีเรือ เล่ากันว่าเคยมีเรือสำเภามาล่มแถวนี้" ลุงวิโรจน์ จิตต์หลัง หัวหน้าหน่วยฯ หาดหยงหลิงเล่า

ในอดีตทะเลแถบเจ้าไหมคือเส้นทางขึ้นล่องของเรือสำเภา เรือจากปีนังเข้ามาค้าขายที่กันตัง ไปถึง กระบี่ พังงา ตะกั่วป่า ในยุคนั้น เจ้าไหมคือเส้นทางการค้า มีเพียงคนท้องถิ่นที่รู้ว่าทะเลผืนนี้อุดมสมบูรณ์เพียงใด ลุงวิโรจน์เล่าว่า "ไม่ใช่แค่ในทะเลนะ ป่าเสม็ดรอบ ๆ ตัวเรานี่ก็มีอะไรอยู่เยอะ มีผักหวานป่า หัวมันทราย ไข่มดแดง ช่วงปลายเดือนเมษายน เห็ดจะขึ้นเยอะแยะ เรียกว่าเห็ดเสม็ด แล้วแต่ก่อนนะ เราเอาเปลือกเสม็ดขาวมามุงหลังคา เปลือกเสม็ดแดงเราใช้ย้อมอวน ย้อมแล้วใช้ทนนาน"

แดดบ่ายค่อย ๆ โรยอ่อน ลมทะเลพัดผ่านทิวสนดังเย็น ๆ ราวกับเสียงฝนพรำ จากหาดหยงหลิง เรากลับมายังที่ทำการอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม "ราว ๆ ๓๐-๔๐ ปีก่อนโน่น ป่าเสม็ดแถว ๆ หยงหลิงกับแถวที่ทำการฯ นี่เคยมีนาข้าว ผืนดินบางผืนยังปลูกข้าวได้" น้ามุ่ย-สมหมาย อินทเสโน คนเก่าคนแก่ของเจ้าไหมเล่า "ทะเลอยู่ไกลกว่านี้มาก" เธอบอกแล้วก็หันออกไปมองทะเลตรงหน้า "เมื่อก่อนปลาโลบันชุมมาก โลบันคือปลากระบอก มีปลากระบอกมากก็มีโลมามาก โลมาตามมาจับปลากระบอก ดูหยงก็เคยมีมาก" เล่าถึงตรงนี้เธอก็ยิ้มอย่างไร้ความหมาย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อ ดูหยง แห่งทะเลเจ้าไหม


๓. ใครบางคนเล่าตำนานทะเลเจ้าไหมให้เราฟัง

กาลครั้งหนึ่ง มีชายหนุ่มชื่อลิบง เขาเป็นกะลาสีเรือสำเภาลำหนึ่ง ความที่เป็นคนขยันขันแข็ง เจ้าของเรือสำเภาจึงยกนางมุกต์ลูกสาวให้เป็นภรรยา อยู่มาวันหนึ่ง นางมุกต์ตั้งท้อง เธอร้องขอให้นายลิบงพาไปเยี่ยมบ้าน ครอบครัวของนายลิบงยากจนมาก ชายหนุ่มรู้สึกอาย ทว่าทนคำรบเร้าของภรรยาไม่ไหว จึงยอมบ่ายหัวเรือกลับไปบ้านเกิด ฝ่ายพ่อแม่ เมื่อรู้ว่าลูกชายจะกลับมาเยี่ยม ทั้งสองเตรียมข้าวปลาอาหาร เตรียมมะม่วงเปรี้ยวให้ลูกสะใภ้ซึ่งกำลังท้อง เตรียมมะม่วงหวานให้ลูกชาย

ทว่าพอเรือเดินทางมาถึงบ้านเกิด นายลิบงเกิดอับอายไม่พอใจฐานะเดิมของตน จึงหันหัวเรือกลับ พ่อแม่เห็นดังนั้นจึงน้อยใจ เสียใจ สาบแช่งให้เรือล่มจมหาย แล้วทันใดพายุก็โหมกระหน่ำ โถมซัดเรือสำเภาจนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ นายลิบงถูกพายุพัดลอยไปกลายเป็นเกาะลิบง นางมุกต์ถูกคลื่นซัดพาไปกลายเป็นเกาะมุกต์ ข้าวของบนเรือกระจัดกระจายกลายเป็นเกาะต่าง ๆ ทั้งเกาะกระดาน เกาะม้า เกาะเชือก เกาะเมง เกาะไหง เกาะแหวน

ว่ากันว่า บนเกาะลิบงยังมีต้นมะม่วงเปรี้ยว มะม่วงหวาน... จากท่าเรือปากเมง เรานั่งเรืออันดามันซีทัวร์บ่ายหน้าเรือลงใต้ จุดหมายแรกอยู่ที่เกาะมุกต์ ซึ่งยามนี้มองเห็นเป็นรูปหญิงท้องนอนหวายอยู่เบื้องหน้า สุดสัปดาห์เช่นนี้มีผู้คนมาเยือนเกาะมุกต์มากหลาย ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ พวกเขาไม่ได้มาเพราะตำนานหรือเรื่องเล่า ทว่าที่นี่มี ถ้ำมรกต อันเลื่องชื่อให้พวกเขาแหวกว่าย

จากเกาะมุกต์และถ้ำมรกต เรืออันดามันซีทัวร์ พาเราไปเกาะกระดาน ที่นั่นชายหาดขาวสะอาด น้ำทะเลเป็นสีครามใส มีฝูงปลาหลากสีให้ดำดูอย่างไม่รู้เบื่อ ออกจากเกาะกระดาน เรือบ่ายหน้า พาเราไปดู ค้างคาวแม่ไก่ที่เกาะม้า

ขณะเรือโล้คลื่นลมทะเลยามเย็น ฝูงนกยางทะเลทยอยบินกลับรังนอน ผมหันหน้าไปทางทิศใต้ มองเห็นเกาะใหญ่อีกเกาะราง ๆ ตรงขอบฟ้าคราม นั่นคือเกาะลิบง บ้านของ ดูหยง ซึ่งผมได้ยินเรื่องเล่ามานาน
ผืนแผ่นดินกับลิบงนั้นอยู่ไม่ไกลกันเลย

มีเพียงร่องน้ำสีครามกางกั้น ทว่าความเป็นเกาะนั้น ทำให้ที่นี่ค่อนข้างพิเศษ ๒๐ นาทีจากท่าเรือหาดยาว เกาะลิบงด้านหลังเขาให้อารมณ์รับรู้ว่าเราเพิ่งเดินทางมาถึงเกาะในตำนาน ชายหาดเงียบสงบ มะพร้าวยืนต้นปะปนกับหูกวาง และไม้ใหญ่ดูเขียวสดยามเมื่อมองจากเรือ ร่มรื่นเมื่อพาตัวเข้าไปหลบแดดบ่าย "เมื่อก่อนเงียบสงบกว่านี้อีกนะคะ" น้ารวยซึ่งทำหน้าที่เสมือนผู้จัดการลิบงบีช รีสอร์ต เล่าพลางต้อนรับแขกคนไทยกลุ่มเดียวที่มาเยือนในสัปดาห์นี้

พูดได้ว่า ลิบงบีช รีสอร์ต เป็นที่พักแห่งแรกบนเกาะลิบง เริ่มจากคนท้องถิ่น ต่อยอดโดยครูหนุ่มจากแผ่นดินใหญ่ "ตอนนั้นน้องชายฉันเป็นครูสอนบนเกาะ เขารับช่วงต่อจากเจ้าของที่ดิน ฉันยังจำได้ เขาเป็นเจ้าของรถกระบะคันแรก ทุกครั้งที่เขาขับรถกลับจากตรัง ชาวบ้านจะเดินตามกันเป็นขบวนเลย เพราะจะได้เห็นของแปลก ๆ ใหม่ ๆ" น้ารวย เล่าแล้วก็ยิ้มอารมณ์ดี

เจ้าของรถกระบะคันนั้นจากไปหลายปีแล้ว คงเหลือลิบงบีช รีสอร์ต ไว้ให้คนจากเมืองไกลมาเยือนและไต่ถาม พักอยู่บนเกาะ ๑ คืน ช่วงเช้าเราเตร็ดเตร่อยู่ริมชายหาด สาย ๆ เข้าไปสำรวจบนเกาะ ไปเยือนบ้านบาตูปูเต๊ะ ซึ่งเป็น ๑ ใน ๔ หมู่บ้านที่มีอยู่บนลิบง

อิสมาแอน เบ็ญสะอาด ชายซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้เพื่อนบ้านกลับมามองรากเหง้าของตนรอเราอยู่ ที่บ้าน เขาพาเราไปดูบ่อน้ำจืดในป่าชายเลนริมทะเล ซึ่งพบโดยชาวบ้านคนหนึ่งในปีที่เกาะร้อนแล้งขาดแคลนน้ำจืดที่สุด แล้วพาเราไปดูสุสานและร่องรอยเมืองโบราณ

เศษอิฐดินเผาซึงหลงเหลืออยู่ ดูจะเป็นร่องรอยเดียวที่บอกเล่าว่าลิบงเคยเป็นเมืองท่าสำคัญมาก่อน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ลิบง ถูกเลือกให้เป็นสถานที่ว่าราชการของเมืองตรัง เพราะเป็นท่าเรือสำคัญของหัวเมืองตะวันตก เรือค้าขายจากปีนัง ไทรบุรี มลายู กันตัง หรือแม้แต่เรือจากบางกอกก็ต้องขึ้น-ล่องผ่านจุดนี้

บังแอน เล่าว่า "ผืนดินบนเกาะก็สมบูรณ์นะครับ ป่าสมบูรณ์ มีกวางป่าชุกชุม เราปลูกข้าวได้ดี มีแตงโมพันธุ์ดีชื่อ แตงจีน เล่ากันว่าเนื้อหวานอร่อย พระยาลิบงซึ่งครองเมืองเวลานั้นมักซื้อไปฝากเพื่อนที่ปีนังบ่อย ๆ" เรื่องราวเหล่านั้นกลายเป็นตำนานไปหมดแล้ว กาลเวลาทำให้ ลิบง เปลี่ยนไป "แต่เรายังมีความหวังนะครับ เรารวมกลุ่มกันเพื่อฟื้นฟูสิ่งดี ๆ ที่เคยมีให้กลับคืนมา" บังแอน บอกน้ำเสียงมุ่งมั่น

ตะวันดวงแดงคล้อยต่ำ กลับจากบ้านบาตูปูเต๊ะ เรานั่งเรือหัวโทงไปยัง หาดตูบ ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ด้านทิศใต้ของลิบง คล้ายเรากำลังเดินทางไปยังที่ซึ่งไม่มีผู้คนเคยรู้จัก น้ำทะเลสีครามสุดสายตา แนวป่าโกงกางเบียดเสียดเขียวชะอุ่ม ขณะเรือลอยลำเข้าใกล้หาดตูบ ฝูงนกทะเลนับพันนับหมื่นก็บินพรูขึ้นจากชายหาด ราวกับประกายแดดวิบวับบนผืนทราย ลอยเป็นสายคล้ายเกลียวคลื่นสีเงิน เมื่อเรือเข้าจอดเทียบ เราเฝ้ารอเงียบ ๆ อยู่ใต้ร่มไม้ พวกเขาค่อย ๆ ทยอยคืนกลับมา โมงยามนั้น ผมพบว่าลิบงช่างสงบเงียบและงดงาม

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เราใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวถูกต้องกันหรือไม่ (Lisa)


สาวคนไหนที่กลับบ้านดึกบ่อย ๆ และมีอุปกรณ์จำพวกเครื่องช็อตไฟฟ้าสเปรย์ป้องกันตัว หรือมีดปากกา ฯลฯ แต่ยังไม่แน่ใจการใช้งานมากนักเราขอแนะนำให้ว่า...

มีดปากกา ควรใช้โจมตีที่หน้าอก ลิ้นปี่ ท้องน้อย และลำคอ
ระดับความรุนแรง : สามารถทำให้คนร้ายบาดเจ็บได้ แต่ไม่รุนแรงมากนัก

สเปรย์พริกไทย ฉีดเข้ากลางใบหน้าคนร้าย เพื่อให้โดนทั้งตา จมูก และปาก
ระดับความรุนแรง : ป้องกันไม่ให้คนร้ายเข้ามาในระยะประชิดตัว

เครื่องช็อตไฟฟ้า ทำให้คนร้ายบาดเจ็บได้พอประมาณ
ระดับความรุนแรง : ทำให้คนร้ายหมดแรงหรือชาไปชั่วขณะ

อุปกรณ์ขอความช่วยเหลือ เช่น นกหวีด สร้างความลังเลให้แก่คนร้าย
ระดับความรุนแรง : ทำให้คนร้ายตกใจและรีบหนี เผื่อว่าใครได้ยนิแล้ววิ่งมาช่วยเหลือ

อย่างไรก็ดี อย่าหยิบเอาอุปกรณ์เหล่านี้ขึ้นมาใช้ในทันทีที่คนร้ายเข้ามาหาเรา ควรแกล้งทำเป็นเออออไปกับคนร้ายก่อน พอสบจังหวะจึงค่อยจู่โจมอย่างรุนแรง แต่ต้องมั่นใจว่าเราจู่โจมได้ตรงจุดที่เราตั้งใจไว้จริง ๆ เพราะถ้าคนร้ายไม่ได้บาดเจ็บตามที่เราต้องการ ก็อาจเข้ามาทำร้ายเราถึงขั้นเสียชีวิตได้ และควรแน่ใจเสียก่อนว่าเรากำลังถูกคุกคามหรือกำลังจะถูกทำร้ายจริง ๆ เพราะอาจเป็นการทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาและไม่มีเหตุอันควร ซึ่งถือว่าทำผิดกฎหมายได้ค่ะ

เลี่ยงดื่มน้ำมาก ขณะออกกำลัง


จั่วหัวกันโต้ง ๆ อย่างนี้แหละ เผื่อใครทำอยู่จะได้รีบติดเบรกทัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การกีฬาออกโรงเตือนถึงอันตรายจากการดื่มน้ำมากเกินไประหว่างออกกำลังกาย จนทำให้ร่างกายสูญเสียโซเดียมฉับพลัน กระทั่งเสียชีวิตในที่สุด

ผลการศึกษานี้ รายงานในงานประชุมซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเคปทาวน์ แอฟริกาใต้ โดยระบุว่า ผู้หญิง นักกีฬาสมัครเล่น นักวิ่งทางไกล และนักกรีฑาซึ่งมีน้ำหนักตัวน้อย เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโซเดียมในเลือดลดลงต่ำ จนเป็นอันตราย และไม่พบว่า เครื่องดื่มบำรุงกำลงสำหรับนักกีฬา และเกลืออัดเม็ด สามารถลดความเสี่ยงในผู้ที่ดื่มน้ำมากเกินไป ระหว่างการออกกำลังกายได้แต่อย่างใด

ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้เลี่ยงการดื่มน้ำในปริมาณที่มากเกินกว่าน้ำในร่างกายที่สูญเสียไปกับเหงื่อและปัสสาวะ แถมฝากไปถึงผู้จัดการแข่งขันวิ่งมาราธอน หรือกีฬาชนิดอื่นที่แข่งขันกันเป็นเวลานาน ให้ตั้งจุดแจกน้ำดื่มตามระยะทางที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้นักกีฬาได้รับน้ำมากเกินไปด้วยค่ะ

เบต้าแคโรทีน เพื่อหัวใจและสุขภาพที่แข็งแรง


เราเชื่อว่าคุณรู้จักเบต้าแคโรทีนดี... ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าในพืช ผัก ผลไม้ และอาหารในบ้านเราล้วนอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน อย่างที่เรา ๆ มักได้ยินผู้ใหญ่บอกกึ่งบังคับให้เด็ก ๆ กินผักหรือผลไม้บางประเภทที่เด็ก ๆ อาจจะไม่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นฟักทอง มะเขือเทศ แตงโม แคนตาลูป บรอกโคลี ฯลฯ ด้วยเหตุผลว่าผักและผลไม้เหล่านี้มีประโยชน์ มีสารอาหารมากมาย มีวิตามิน และหนึ่งในสารอาหารมากประโยชน์ และเป็นสารอาหารยอดนิยมในการดูแลสุขภาพร่างกาย และสุขภาพหัวใจ ก็คือ เบต้าแคโรทีน

เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) เป็นสารอาหารชนิดหนึ่งที่พบในพืชหลายชนิด โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในพืชที่มีสีเหลืองและสีส้ม เบต้าแค่โรทีนถือเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ซึ่งเมื่อคนรับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนแล้ว ร่างกายจะทำการเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนให้กลายเป็นวิตามินเอ โดยกระบวนการแล้ว เบต้าแคโรทีนจะมีสูตรทางเคมีที่โรงสร้างใหญ่ แต่เมื่อผ่านสู่กลไกการทำงานของตับจะเปลี่ยนให้เบต้าแคโรทีนกลายเป็นวิตามินเอ ซึ่งมีโครงสร้างที่เล็กกว่า โดยโมเลกุลของเบต้าแคโรทีน 1 โมเลกุล เมื่อผ่านกระบวนการของร่างกายจะกลายเป็นวิตามินเอ 2 โมเลกุล
อย่างที่ทราบแล้วว่า เบต้าแคโรทีนมีคุณสมบัติเชื่อมโยงกับสารอาหารอย่างวิตามินเอ ซึ่งโดยมากแล้วจะอยู่ในไข่แดง เนื้อสัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา และพืชบางชนิด โดยวิตามินเอนั้น มีคุณสมบัติโดยตรงกับประสิทธิภาพของการมองเห็นของประสาทสัมผัสทางสายตาบริเวณเรตินาของดวงตา ช่วยการมองเห็นในที่มีดหรือที่มีแสงน้อย รวมถึงการซ่อมแซมรักษาเซลล์ที่เสื่อมสภาพ ไม่ว่าในอวัยวะต่าง ๆ หรือผิวพรรณ อีกทั้งยังช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกและฟันอีกด้วย

คุณประโยชน์ของวิตามิเอ ทีได้จากการเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนอาจเป็นสิ่งที่โดดเด่นอยู่แล้ว แต่อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นเลิศที่สุดที่ทำให้คนจดจำเบต้าแคโรทีน ในชื่อของสารอหารคนรักสุขภาพ เพราะว่าเบต้าแคโรทีนนั้นมีคุณสมบัติที่โดดเด่นประการสำคัญก็คือ คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการการเจ็บป่วย ความแก่ชรา ความเหี่ยวย่น และที่สำคัญคือ เป็นตัวการที่นำเราไปสู่โรคร้ายหลาย ๆ โรค หนึ่งในนั้นคือโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจ โดยเบต้าแคโรทีน จะทำการกระตุ้นการทำงานของ T-helper Cell ซึ่งช่วยด้านการเกิดเซลล์มะเร็งได้ และสำหรับคนที่รักสุขภาพและอยากหนุ่มและสาวเสมอ เบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชราได้อย่างดี นอกจากหนุ่มและสาวเสมอแล้ว ยังสุขภาพดีอีกด้วย

จากการศึกษาของกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ผลไม้ไทยเราที่มีปริมาณของเบต้าแคโรทีนสูง 10 อันดับแรก ได้แก่ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะเขือเทศราชินี มะละกอสุก กล้วยไข่ มะม่วงยายกล่ำ มะปรางหวาน แคนตาลูปเนื้อเหลือง มะยงชิด มะม่วงเขียวสวยสุก และสับปะรดภูเก็ต เห็นอย่างนี้แล้ว สารอาหารเบต้าแคโรทีน ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล หากได้ไม่ยากเย็นเลย อยู่แค่ในสวนบ้านเรานี่เอง...

สำหรับในยุคที่สารอาหารได้ง่าย สะดวกทั้งในรูปแบบของอาหารและสารสกัด หากคุณเป็นห่วงสุขภาพและรักสุขภาพของคนที่คุณรักอย่างแท้จริง การรักประทานอาหารเสริมอย่างเบต้าแคโรทีน ควรปรึกษาเภสัชกร เพื่อให้คุณได้รับเบต้าแคโรทีน ในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย และที่สำคัญมาก ๆ กับสุขภาพของการรับประทานผัก ผลไม้สด ๆ ของแท้นั้นมีแต่ประโยชน์ อีกทั้งไม่ต้องกังวลเรื่องสารตกค้างหรือสารปนเปื้อนที่มาพร้อมกับอาหารเสริม หรือน้ำผลไม้ประเภทกล่องที่เต็มไปด้วยน้ำตาล

ลองเลือกผักหรือผลไม้ที่มีส่วนผสมของสารอาหารประเภทเบต้าแคโรทีน มอบให้คนที่คุณรักเป็นของขวัญก็คงจะดีไม่น้อย เพราะนอกจากจะสุขภาพดีแล้ว คนรักของคุณยังมีสุขภาพหัวใจที่แข็งแรง แถมยังได้สารต้านอนุมูลอิสระที่มีแบบเต็ม ๆ ในเบต้าแคโรทีน คนรักของคุณจึงดูสดชื่น สดใส กระปรี้กระเปร่า พร้อมต้อนรับวันใหม่ด้วยสุขภาพที่ดีและแข็งแรง

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ตัดผมวันไหนดีและตัดเล็บวันไหนดี


ตัดผมวันไหนดีและตัดเล็บวันไหนดี
ตัดผมวันไหนดี

ตัดผม วันอาทิตย์

จะมีอายุยืน สุขภาพร่างกายแข็งแรงปราศโรคภัย

ตัดผม วันจันทร์

จะมีแต่โชคลาภ

ตัดผม วันอังคาร

จะมีเดชอำนาจ ผู้คนยำเกรง

ตัดผม วันพุธ

ไม่ดี ลาภต่างๆ จะหายหมดมีแต่ความทุกข์

ตัดผม วันพฤหัสบดี

เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์รักษาคุ้มครอง เป็นสิริสวัสดิ์กับตัวท่าน

ตัดผม วันศุกร์

จะมีเสน่ห์เป็นที่นิยมรักใคร่แก่คนทั้งปวง

ตัดผม วันเสาร์

ดียิ่งนัก คิดการทำสิ่งใดจะได้ดั่งสมประสงค์ จะเกิดมงคลและโชคลาภ

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ในฟิตเนสคลับ ก็ต้องระวังเชื้อโรคนะ


ในฟิตเนสคลับ ก็ต้องระวังเชื้อโรคนะ

อย่าเผลอคิดว่า ฟิตเนสคลับ จะเป็นสถานที่ที่จะทำให้คุณมีสุขภาพดี แข็งแรง อย่างเดียวล่ะ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ถ้าไม่ระวังตัว ฟิตเนสคลับ สถานที่ซึ่งมีคนพลุกพล่านเข้ามาใช้บริการมากหน้าหลายตา และยังเป็นสถานที่ปิด จะกลายเป็นแหล่งสะสมและแพร่เชื้อโรคได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นคนจาม ไอ แล้วไปจับอุปกรณ์ออกกำลังกาย หรือสิ่งของต่าง ๆ ในฟิตเนสคลับ ก็พาลจะแพร่เชื้อโรคให้เราอย่างไม่ทันตั้งตัว

ว่าแล้ว เรามาป้องกันเชื้อโรคในฟิตเนสคลับกันดีกว่า ด้วยเทคนิคดี ๆ เหล่านี้

1.พยายามรักษาความสะอาดอยู่เสมอ ด้วยการล้างมือทุกครั้ง หลังจับอุปกรณ์ออกกำลังกาย เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย หากไม่สามารถล้างมือได้ ก็พยายามเลี่ยงการนำมือไปจับหู จมูก ปาก หรือขยี้ตา

2.ผ้าเช็ดตัวก็สามารถแพร่เชื้อโรคได้อย่างดี หากไม่มั่นใจว่า ผ้าเช็ดตัวที่ฟิตเนสคลับเตรียมไว้บริการอบไม่แห้ง หรือทำความสะอาดไม่ดี ก็ควรนำผ้าเช็ดตัวไปเองจะดีกว่า และควรมีผ้าเช็ดตัวสองผืน ผืนหนึ่งเอาไว้ซับเหงื่อตามปกติ อีกผืนควรเอาไว้ปูลงบนเบาะ หรือฟูกของเครื่องออกกำลังกายก่อนจะใช้งาน เพื่อป้องกันเชื้อรา ที่จะทำให้มีอาการคันตามผิวหนังได้

3.ในห้องน้ำก็เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรียเช่นกัน ดังนั้น ควรใส่รองเท้าฟองน้ำทุกครั้ง เมื่อเข้าห้องน้ำ ไม่ควรเดินเท้าเปล่าเด็ดขาด เพราะอาจติดเชื้อราที่เท้าได้

4.เบาะโยคะ ถือเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคที่มาจากเหงื่อได้อย่างดี หากฟิตเนสคลับนั้นไม่ดูแลรักษาความสะอาดอุปกรณ์ให้ดีพอ ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรนำเบาะส่วนตัวไปเองจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องพะวงว่า เบาะนั้นจะไม่สะอาด และอาจทำให้เกิดผื่นคันตามผิวหนังได้

5.หลังจากออกกำลังกายแล้ว ควรเปลี่ยนชุดชั้นในใหม่ทุกครั้ง เพราะชุดชั้นในที่เต็มไปด้วยเหงื่อหลังการออกกำลังกาย มักจะอับชื้น และทำให้เกิดผดผื่น หรือสิวตามลำตัวได้

6.หากมีอาการป่วย ไอ จาม ก็ควรหาผ้าปิดปากมาป้องกันไว้ เพื่อไม่ให้เชื้อกระจายไปทั่วฟิตเนสคลับ ซึ่งเป็นสถานที่อากาศไม่ถ่ายเท หรือหากใครที่มีไข้ ป่วยแม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่ควรไป เพราะอาจติดเชื้อเพิ่มได้

ได้เทคนิคดี ๆ แล้ว ป้องกันไว้สักนิดก็ดีเหมือนกันนะ

ระวังป่วยเพราะสารพิษในบ้าน
จะมีใครรู้บ้างว่า บ้านที่เราอาศัยอยู่นั้นก็ทำให้เราป่วยได้

ทั้งนี้เป็นเพราะสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมีอยู่ทั่วไปในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นพื้นบ้าน ผนัง หรือเฟอร์นิเจอร์ ดังนั้น จึงไม่ควรใช้พื้นยางในห้อง เพราะมีสารเจือจาง หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น นาฬิกาปลุก วิทยุ ทีวี ควรตั้งอยู่ห่างจากเตียงอย่างน้อยที่สุดหนึ่งเมตร เพื่อจะได้รับรังสีให้น้อยที่สุด

เราควรป้องกันตัวเองให้ห่างจากสารเคมี รังสีจากไฟฟ้า หรือสารก่อภูมิแพ้ โดยเฉพาะในฟูก ผ้าห่ม หมอน ผ้าปูที่นอนมีไรฝุ่นประมาณ 10,000 ตัว ต่อฝุ่นหนึ่งกรัม สิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ ใช้ที่นอนชนิดพิเศษที่ป้องกันไรฝุ่น

ส่วนการกำจัดไรฝุ่น ขนสัตว์ หรือละอองเกสรจากพื้นบ้าน หรือเฟอร์นิเจอร์ก็คือ การใช้เครื่องดูดฝุ่นที่เรียกว่า HEPA-Filter (High efficiency Particular Air) ซึ่งจะช่วยกรองฝุ่นได้ถึง 99.95%

แปลกแต่จริง 12 ซี่ความรู้ เรื่องฟัน ๆ


แปลกแต่จริง 12 ซี่ความรู้ เรื่องฟัน ๆ

ไม่ปวดก็ไม่สำนึก นี่คือเรื่องจริงที่เรามักจะมองข้ามความใส่ใจดูแลเรื่องสุขภาพปาก ใครอยากมียิ้มสวยไปจนแก่ต้องรีบอ่านด่วน เพราะฟันซี่เดียว มันเกี่ยวกับความสุขทั้งชีวิต และนี่คือเรื่องแปลกแต่จริง กับ 12 ซี่ความรู้เรื่องฟัน ๆ

1.โรคเหงือกเริ่มต้นมาจากอาการเหงือกอักเสบ

ซึ่งถ้ารักษาแต่เริ่มแรกก็จะหายขาดได้ อาการของเหงือกอักเสบคือ การบวม แดง และเหงือกนุ่ม เกิดเลือดออกเวลาแปรงฟัน ถ้าคุณพบอาการเหล่านี้ ให้พบทันตแพทย์ก่อนที่อาการจะลุกลามร้ายแรงขึ้น ระยะสุดท้ายของโรคเหงือกอาจนำไปสู่การต้องสูญเสียฟัน สุขภาพของเหงือกมีผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมของคุณ งานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้พบว่า มีความสัมพันธ์กันระหว่างโรคเหงือกชนิดหนึ่ง กับโรคภัยอื่น ๆ อาทิเบาหวาน หัวใจ และการคลอดก่อนกำหนด

2.อาการเสียวฟันเป็นปัญหาที่พบมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น

เหงือกของเราจะเริ่มร่นตามธรรมชาติตลอดเวลา ทำให้บริเวณที่ไม่มีสารเคลือบฟันถูกเปิดออก ซึ่งบริเวณเหล่านี้จะเกิดอาการปวด เมื่อสัมผัสกับอาหารหรือเครื่องดื่มที่ร้อนหรือเย็น ในรายที่เป็นมาก อากาศเย็น หรืออาหารที่เปรี้ยวหรือหวานก็สามารถทำให้เกิดการเสียวฟันได้ ถ้าคุณมีอาการเสียวฟัน ควรใช้ยาสีฟันที่ช่วยลดอาการเสียวฟัน และถ้ายังไม่หาย ควรพบทันตแพทย์ เพราะอาการเสียวฟันอาจเป็นสัญญาณของอาการร้ายแรงอื่น ๆ ได้ เช่นฟันผุ หรือฟันหัก/แตก

3.เลือกรับประทานอาหารที่มีความจำเป็นต่อเหงือกและฟัน

ผักผลไม้ที่มีความแข็งและเส้นใย ก็จะช่วยทำความสะอาดฟันและเนื้อเยื่อด้วย แต่อาหารที่มีความนุ่มและเหนียว มีโอกาสที่จะติดอยู่ตามซอกฟันและทำให้เกิดคราบแบคทีเรียได้ง่าย ทุกครั้งที่คุณรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มที่มีแป้งและน้ำตาล แบคทีเรียจะทำให้เกิดกรดที่ทำลายฟันได้เป็นระยะเวลา 20 นาทีหรือนานกว่านั้น เพื่อที่จะลดความเสียหายต่อเคลือบฟัน ควรจำกัดความถี่ในการรับประทานอาหารว่างระหว่างมื้อ และควรจะเลือกรับประทานอาหารว่างที่มีประโยชน์ เช่น เนยแข็ง ผักสด โยเกิร์ต หรือผลไม้

4.น้ำอัดลม ตัวการสำคัญของปัญหาสุขภาพช่องปาก

สมาคมกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา ออกประกาศเตือนถึงพิษภัยของการบริโภคน้ำอัดลม โซดา ว่าเป็นแหล่งสำคัญในการทำให้เกิดอาการฟันผุ เพราะกรดและกรดที่เกิดจากน้ำตาลในน้ำอัดลม จะไปทำให้สารเคลือบฟันอ่อนบางลง ซึ่งส่งผลให้เกิดการก่อตัวของฟันผุ ในกรณีร้ายแรง สารเคลือบฟันที่อ่อนบางลง ประกอบกับการแปรงฟันที่ไม่ถูกวิธี จะทำให้เกิดการผุกร่อนของฟัน ควรเปลี่ยนมาดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลน้อย ๆ เช่น น้ำเปล่า นม น้ำผลไม้ 100% และหลังจากดื่มน้ำที่มีรสหวาน ควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าเสมอ

5.การดูแลแปรงสีฟัน และการเปลี่ยนแปรงสีฟัน

แปรงสีฟันสามารถเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค เชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียได้ ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้หากปล่อยให้ก่อตัวขึ้น และเวลาผ่านไปอาจพัฒนาไปเป็นเชื้อที่ร้ายแรงขึ้นได้ หลังจากการใช้แปรงสีฟันทุกครั้ง ควรสะบัดแปรงอย่างแรงให้น้ำก๊อกไหลผ่าน และเก็บแปรงสีฟันให้อยู่ในลักษณะแนวตั้ง วางแปรงเอาหัวตั้งตรงเพื่อให้แปรงแห้งได้ง่าย ควรเก็บแปรงสีฟัน ไม่ให้แปรงสีฟันของคุณไปสัมผัสกับแปรงสีฟันของคนอื่น

จากการศึกษาพบว่า แปรงสีฟันที่มีการใช้งานมานานกว่า 3 เดือนจะมีประสิทธิภาพในการกำจัดคราบพลัคที่อยู่บนเหงือก และฟันได้ต่ำกว่าแปรงสีฟันอันใหม่ เพราะขนแปรงจะเริ่มหมดสภาพ และมีคุณภาพต่ำในการซอกซอนเข้าไปตามซอกหลืบต่าง ๆ ของฟัน หลังจากที่ป่วย ติดเชื้อในช่องปาก หรือเจ็บคอ ควรเปลี่ยนแปรงสีฟัน เนื่องจากเชื้อโรคอาจยังหลงเหลือแอบซ่อนอยู่ตามขนแปรง และอาจนำไปสู่การติดเชื้อใหม่อีกครั้ง

6.แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง

ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์เพื่อที่จะกำจัดคราบแบคทีเรีย หรือแผ่นฟิล์มเหนียวที่เกาะอยู่บนฟันของเราและทำให้เกิดฟันผุ

7.ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน

เพื่อกำจัดคราบแบคทีเรียระหว่างซอกฟัน และร่องเหงือก ก่อนที่มันจะจับตัวแข็งเป็นหินปูน เพราะเมื่อเกิดเป็นหินปูนแล้ว จะต้องอาศัยทันตแพทย์เท่านั้นที่จะเอาออกได้

8.จำกัดการรับประทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล

โดยเฉพาะอาหารที่มีความเหนียว ยิ่งรับประทานบ่อยมากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เกิดโอกาสที่จะกรดในคราบแบคทีเรีย จะเข้ามาทำลายฟันเท่านั้น

9.รับประทานส้มทุกวัน

เพราะจะทำให้คุณได้รับวิตามินซี ซึ่งมีการวิจัยมาแล้วว่าจะช่วยลดอาการอักเสบบวมของเหงือก ที่มาของปัญหาทางช่องปากและฟัน

10.เคี้ยวหมากฝรั่งไร้น้ำตาล

ระหว่างเคี้ยวหมากฝรั่งจะมีน้ำลายออกมา จะช่วยล้างคราบกรดและทำให้เคลือบฟันแข็งแรง ควรแปรงฟันหลังดื่มเครื่องดื่มที่เป็นกรด แต่อย่าแปรงทันที ต้องทิ้งช่วงห่างอย่างน้อย 20 นาที

11.ใช้หลอดดูดกาแฟ หรือไวน์

ฟังดูแปลกหน่อย แต่เขาบอกว่าช่วยลดการทิ้งคราบลงบนฟันขาวได้ดี

12.พบทันตแพทย์ ทุก 6 เดือน เป็นประจำ

กินผักผลไม้ ตามทฤษฎีร้อน-เย็น


กินผักผลไม้ ตามทฤษฎีร้อน-เย็น
เพื่อปรับสภาพของร่างกายให้สมดุลกับสภาพของอากาศ ตามหลักการทฤษฎีร้อน-เย็น แห่งการแพทย์แผนไทยได้อธิบายไว้ว่า ผักผลไม้ที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น พริก ขิง ข่า กระชาย ตะไคร้ โหระพา กะเพรา เหล่านี้ จะกระตุ้นร่างกายให้รู้สึกร้อน

ส่วนผักผลไม้ที่มีรสขม เย็น จืด เช่น มะระ แตงโม แตงกวา บวบ ตำลึง แค สะเดา ฟักเขียว จะมีฤทธิ์เย็นช่วยลดความดันโลหิต และยับยั้งความร้อนภายในร่างกาย ซึ่งสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนว่า หลังจากที่ได้รับประทานผักผลไม้เหล่านั้นแล้ว เราจะรู้สึกเย็นสบายหายร้อน

ดังนั้นในช่วงเวลาที่อากาศร้อน ๆ อย่างนี้ ทางที่ดีเราจึงควรเลือกรับประทานแต่ผักผลไม้ ซึ่งมีฤทธิ์เย็นให้มาก ๆ เพื่อเป็นการช่วยป้องกันความร้อนของอากาศไม่ให้ทำอันตรายเราได้

เที่ยวเมืองไทย นำไปหักภาษีได้ กรณ์ กระตุ้นเที่ยวไทยฟื้น


เที่ยวเมืองไทย นำไปหักภาษีได้ กรณ์ กระตุ้นเที่ยวไทยฟื้น

หลังจากที่ประเทศไทยเกิดความขัดแย้งทางการเมืองจนนำไปสู่การชุมนุม และทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายคนในช่วงเดือนที่ผ่านมานั้น ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาต่างชาติ ยังไม่กล้าที่จะวางแผนเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และคาดว่าการท่องเที่ยวที่หวังจะดึงนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างชาติคงเป็นเรื่องยาก

ล่าสุด นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยว่า ทางกระทรวงการคลังกำลังศึกษาเกี่ยวกับแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ และดึงความเชื่อมั่นภาคการท่องเที่ยวกลับมา โดยเสนอให้ประชาชนที่ท่องเที่ยวและพักโรงแรมในประเทศ สามารถนำค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลจากการเดินทางไปเที่ยวไปหักภาษีเพิ่มเติมได้ ส่วนจะหักลดหย่อนได้รายละเท่าไร กำลังอยู่ในขั้นตอนการปรึกษากับผู้ที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม นายกรณ์เชื่อว่ามาตรการดังกล่าว จะสามารถกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี