วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

3 ประโยชน์น่าประหลาดใจของเมล็ดกาแฟ


3 ประโยชน์น่าประหลาดใจของเมล็ดกาแฟ
เมล็ดกาแฟคั่วไม่เพียงแต่ให้กาแฟที่สดใหม่หอมอร่อย แต่ยังมีประโยชน์อื่นสำหรับคุณอีก

ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น สิ่งที่ต้องทำเมื่อคุณไม่มีลูกอมดับกลิ่นปาก ก็คือเอาเมล็ดกาแฟมาอมเอาไว้ชั่วครู่ ลมหายใจคุณจะมีกลิ่นสะอาดและสดชื่นอีกครั้ง

กำจัดกลิ่นอาหาร ถ้ามือของคุณมีกลิ่นกระเทียม ปลา หรือกลิ่นอาหารแรง ๆ ชนิดอื่น เมล็ดกาแฟเล็กน้อยสามารถช่วยคุณกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ โดยเทเมล็ดกาแฟลงบนมือและถูมือเข้าด้วยกันสักครู่ น้ำมันจากเมล็ดกาแฟจะดูดซับกลิ่นเหม็น ๆ ออกไป จากนั้นก็ล้างมือด้วยน้ำอุ่นและสบู่ให้สะอาด

ยัดไส้เก้าอี้ เก้าอี้แบบที่เรียกว่าบีนแบ็ก หรือเก้าอี้ทรงถุงกลม ๆ ที่มักยัดไส้ด้วยเม็ดถั่ว ที่จริงแล้วเมล็ดกาแฟก็สามารถเอามาใช้ทดแทนกันได้เช่นกัน ลองหาเมล็ดกาแฟคั่วชนิดที่ราคาถูกที่สุดเอามาใช้ ข้อดีอีกอย่างก็คือมันจะช่วยดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ในห้องได้ด้วย

ระวัง...ตัวการทำให้ผิวแห้ง


ระวัง...ตัวการทำให้ผิวแห้ง (ลิซ่า)

นอกจากสภาพอากาศแห้ง ๆ ในหน้าหนาวจะทำให้ผิวแห้งได้ง่ายแล้ว ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เราใช้อยู่ทุกวันนั้น บางชนิดก็ทำให้ผิวแห้งได้แบบไม่รู้ตัว ฉะนั้น นอกจากขยันทาครีมแล้ว ก็ควรระวังเรื่องพวกนี้ไว้ด้วย

ผลิตภัณฑ์ล้างมือแบบไม่ใช้น้ำ

ส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์จะทำให้มือแห้งและเล็บเปราะได้ง่ายขึ้น

โลชั่นทามือแบบมีกลิ่นหอม

จริง ๆ แล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวโลชั่น แต่อยู่ที่การทาซ้ำบ่อย ๆ ต่างหาก คุณควรใช้แค่วันละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น เพราะการล้างมือแล้ว ทาโลชั่นบ่อยๆ อาจทำให้ชั้นปกป้องความชุ่มชื้นบนผิวเสียหายได้

น้ำอุ่น

สายน้ำอุ่น ๆ อาจทำให้คุณรู้สึกดี ในช่วงอากาศเย็น ๆ แต่มันคือตัวการที่ทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติไป ทำให้ผิวแห้งและเปราะบางมากขึ้น

สบู่ที่มีฟองเยอะ ๆ

สารที่ทำให้เกิดฟองในสบู่คือตัวการที่ทำให้ผิวแห้งได้อย่างมาก ฉะนั้น อย่าคิดว่าสบู่ที่มีฟองเยอะๆ จะดีต่อผิวของคุณ

ลิปบาล์ม

แม้จะเป็นสิ่งที่ผู้หญิงขาดไม่ได้ แต่ลิปบาล์มส่วนใหญ่มักจะมีส่วนผสมของเมนธอลและการบูร ที่ทำให้ริมฝีปากแห้งมากขึ้นได้

คันเรื้อรังรักษาไม่ตรงจุด โรคทรุด


แพทย์เตือน...คันเรื้อรังรักษาไม่ตรงจุด โรคทรุดทั้งภายในและภายนอก

ผู้ป่วยที่มีอาการคันของผิวหนัง พบว่า เป็นโรคทางกายภายใน ที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดอาการคันร่วมด้วย .... การรักษาจึงต้องหาต้นตอของโรคภายใน ไม่เช่นนั้น รักษาไม่หายขาด ทั้งยังทำให้โรคภายในทรุดลงเรื่อย ๆ

นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยในบทความวิชาการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ (วารสารคลินิก) ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2552 นี้ว่า ผู้ป่วยคันเรื้อรังร้อยละ 10 –50 พบว่ามีโรคทางกายภายในที่เป็นสาเหตุของอาการคันร่วมด้วย จึงควรได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการรักษาที่เหมาะสม การตรวจที่อาจทำคือ การตรวจนับเม็ดเลือด ในรายที่สงสัยว่าคันจากโรคโลหิตจางจากการขาดเหล็ก คันจากโรคมะเร็งเม็ดเลือด, ตรวจค่าครีอาตินีนและ BUN ในผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคไต, การตรวจหาเอ็นไซม์ตับ, ตรวจหาระดับฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์, ตรวจหาระดับน้ำตาล เพื่อหาว่าเป็นเบาหวานร่วมด้วยหรือไม่ ตรวจอุจจาระ ถ้าพบเลือดอาจเป็นมะเร็งระบบทางเดินอาหาร พบไข่พยาธิอาจคันจากการติดเชื้อพยาธิ, การตรวจหา HIV antibody ถ้ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นเอดส์ การขูดผิวหนังเพื่อหาเชื้อราหรือหิด และการตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา

ดังนั้นการรักษาอาการคันจากโรคภายในจึงขึ้นกับสาเหตุ หากไม่รักษาสาเหตุต้นตอของโรคภายใน อาการคันก็ไม่หายขาดและโรคภายในก็จะทรุดลงเรื่อย ๆ ในผู้ป่วยที่คันจากโรคไตแพทย์อาจพิจารณาฉายแสงยูวีบี, ให้ยาทาลดอาการคันเฉพาะที่, ยากิน, การล้างไตช่วยลดอาการคันลงได้, ในรายที่คันจากโรคตับมียาเฉพาะ เช่น cholestyramine, อาการคันจากโรคเลือดจากการขาดเหล็กแก้ไขด้วยการเสริมเหล็ก แพทย์อาจให้ยา aspirin ในผู้ป่วยโรคเลือดข้นผิดปกติที่มีอาการคัน, อาการคันจากต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยเป็นผลจากผิวแห้ง รักษาด้วยครีมให้ความชุ่มชื้น และเสริมฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์

นพ.ประวิตร พิศาลบุตร เตือนว่า พบบ่อยว่าผู้ที่คันเรื้อรังอาจหาซื้อยามากินเอง เช่น ยาชุด ยาสมุนไพร ยาหม้อ ยาแผนโบราณ ยาลูกกลอน ยาพระ โดยผู้ที่ใช้ส่วนใหญ่เข้าใจว่าปลอดภัย แท้จริงแล้วอาจมีอันตรายได้เช่นกัน พบว่ายาชุด, ยาสมุนไพรหลายขนานมีการเจือปนสารอันตรายเช่น สเตียรอยด์ และสารหนูลงไป สเตียรอยด์ขนาดสูงทำให้หน้าบวมเป็นดวงจันทร์ คอมีหนอก ผิวแตกลาย ผิวฝ่อ เลือดออกในกระเพาะอาหาร กระดูกผุ, ติดเชื้อง่ายขึ้น,น้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีอาการทรุดลง การใช้สเตียรอยด์อาจทำให้อาการดีขึ้นช่วงแรก แต่เมื่อไม่ได้รักษาตรงจุดในที่สุดโรคจึงทรุดลง และยังมีข้อแทรกซ้อนจากยาอีกมาก

ผู้ป่วยที่คันเรื้อรังจึงควรรับการตรวจอย่างละเอียด เพื่อการวินิฉัยและหาสาเหตุร่วมจากโรคภายในอย่างตรงจุด ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางตามความเหมาะสม เช่น ปรึกษาแพทย์โรคผิวหนัง อายุรแพทย์ แพทย์โรคทางเดินอาหาร แพทย์โรคเลือดและโรคมะเร็ง แพทย์โรคต่อมไร้ท่อ จิตแพทย์ และศัลยแพทย์ และแม้จะตรวจไม่พบสาเหตุใด ๆ ก็อาจต้องรับการตรวจซ้ำทุก ๆ 3-6 เดือน

ป้องกันเจ้าวายร้ายชื่อ...เชื้อรา


คุณผู้หญิงหลายคนอาจเคยมีอาการคันยุบยิบ บริเวณจุดซ่อนเร้น บางคนอาจจะพบเจอกับอาการตกขาวผิดปกติด้วย นี่ถือเป็นสัญญาณของการเป็นเชื้อราในช่องคลอดค่ะ

เหตุเกิดเพราะความไม่สมดุล

ในร่างกายเราจะมีทั้งเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียอยู่ ซึ่งโดยปกติเชื้อราและแบคทีเรียจะสมดุลกัน ทำให้เชื้อราสงบไม่เจริญเติบโต เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ไปทำให้ความสมดุลของเชื้อรากับเชื้อแบคทีเรีย หรือสิ่งแวดล้อมในช่องคลอดเปลี่ยนแปลงไป อะไรก็ตามที่ทำให้แบคทีเรียในช่องคลอดน้อยลงเชื้อราในช่องคลอดก็มักจะเจริญมากขึ้น

ดูแลตัวเองให้ห่างไกลเชื้อรา

เชื้อราในช่องคลอดไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็เป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับคุณผู้หญิง ที่นอกจากจะส่งผลถึงสุขภาพและอนามัยแล้ว ยังส่งผลต่อบุคลิกภาพที่คงจะไม่ดีแน่ ๆ ถ้าคุณเกิดอาการคันในร่มผ้าในที่สาธารณะ ฉะนั้นป้องกันไว้ก่อนเป็นดีที่สุด ดังนั้นจึงมีวิธีการดูแลตัวเองเพื่อให้คุณปลอดจากอาการอันไม่พึงประสงค์ให้หงุดหงิดใจมาให้ค่ะ

1.ขจัดความอับชื้น

เรื่องของชุดชั้นในที่คุณผู้หญิงใส่อยู่ก็ถือเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่จะก่อให้เกิดเชื้อราในช่องคลอด โดยเฉพาะกางเกงในที่ระบายอากาศไม่ค่อยดี มีความอับชื้น และชุ่มเหงื่อ ยิ่งในหน้าฝนที่เสื้อผ้ามักจะแห้งไม่สนิทก็อาจมีสปอร์เชื้อราอยู่ ดังนั้นควรดูแลชุดชั้นในของคุณให้แห้งสะอาดอยู่เสมอ และควรตรวจตราคอยเคลียร์ชั้นในตัวเก่าที่ซุกอยู่ก้นตู้เพราะอาจมีสปอร์ติดอยู่ด้วยค่ะ

นอกจากนี้การใส่ผ้าอนามัยระหว่างมีประจำเดือน ก็ควรต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ และหากไม่ได้อยู่ในช่วงรอบเดือนก็ไม่ควรต้องใส่ผ้าอนามัย เพราะจะทำให้เกิดการอับชื้นมากกว่า

2.ความสะอาดแต่พอดี

สำหรับผู้ที่ชอบใช้น้ำยาเพื่อทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น ถ้าใช้นานก็อาจทำให้ความเป็นกรดด่างในช่องคลอดเปลี่ยนแปลง เป็นสาเหตุทำให้มีเชื้อราขึ้นได้ และบางคนอาจแพ้สารเคมีในน้ำยาอีกด้วย ซึ่งการทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นนั้น เพียงใช้สบู่และน้ำธรรมดาก็เพียงพอ

3.ลดของหวาน

การกินของหวานหมายถึงการที่คุณจะมีปริมาณน้ำตาลในเซลล์ต่าง ๆ เยอะขึ้น ซึ่งพบว่าเป็นอาหารโปรดของเชื้อรา ทำให้เจริญเติบโตได้ดี คนไข้ที่เป็นเชื้อราในช่องคลอดบ่อย ๆ คุณหมอก็จะให้หลีกเลี่ยงน้ำตาลและของหวาน

4.ระวังการกินยา

เพราะสำหรับคนที่กินยาแก้อักเสบ กินยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน หรือได้รับยาประเภทกดภูมิคุ้มกัน เช่นโรคเลือดหรือการทำเคมีบำบัดนั้น จะส่งผลให้แบคทีเรียในช่องคลอดลดลง ทำให้ความสมดุลกรดด่างในช่องคลอดเปลี่ยนไป เชื้อราก็จะเจริญเติบโตขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสเสี่ยงในการเกิดเชื้อราในช่องคลอดได้ง่าย

เป็นแล้วรักษาอย่างไร

สำหรับการรักษาเชื้อราในช่องคลอดนั้น ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ให้ยารับประทาน และการรักษาในช่องคลอด ซึ่งเป็นสอดยาฆ่าเชื้อราเข้าไปในช่องคลอด มีทั้งในรูปของยาเม็ดและยาทาค่ะ

การดูแลสุขภาพและอนามัยของตนเอง ให้ตัวเราปลอดจากเจ้าเชื้อราตัวร้ายไม่ใช่ เรื่องยากนะคะ เพราะเป็นเชื้อรานาน ๆ เข้า แม้จะไม่มีอันตรายร้ายแรง นอกจากจะมีอาการคันร่มผ้าที่ทำให้เสียบุคลิก ยังจะมีอาการคันใจเข้ามาด้วย

เรื่องควรรู้ของแม่ท้องกับเชื้อรา

การเกิดเชื้อราในช่องคลอดที่พบมากที่สุดเลยคือเมื่อตั้งครรภ์ เพราะแม่ท้องจะมีฮอร์โมนออกมามาก ซึ่งไปกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดด่างในช่องคลอด ทำให้เชื้อรามีอาหารที่จะเจริญเติบโตมากขึ้น ทำให้มีระดูขาวมากขึ้น และอาจมีการอักเสบของปากช่องคลอด

เชื้อราในช่องคลอดนั้นจะไม่ผ่านไปสู่ลูก แต่หากแม่ท้องเป็นเชื้อราในช่องคลอดแล้วไม่ได้รักษาให้หาย และเป็นเชื้อราในช่องคลอดขณะที่คลอดลูกผ่านทางช่องคลอด จะทำให้เด็กอาจมีเชื้อราในลิ้น ในปาก และก้นได้

การรักษาอาการนี้สำหรับแม่ท้อง แพทย์มักจะให้ยาทาหรือยาสอด แต่ไม่ให้ยา เพราะกลัวจะมีผลถึงเด็กในครรภ์

เมื่อคุณแม่ท้องมีอาการคันที่อวัยวะเพศ หรือมีระดูขาวมาผิดปกติ ก็ควรบอกคุณหมอเพื่อจะได้ทำการตรวจและรักษาต่อไป ซึ่งอาการนี้อาจจะไม่ได้เกิดในช่วงระยะแรกของการตั้งครรภ์ คุณแม่ก็ต้องคอยสังเกตตัวเองอยู่เป็นระยะค่ะ

สังเกตอาการ

อาการของผู้ที่มีปัญหาเชื้อราในช่องคลอด จะมีอาการคันบริเวณแถว ๆ ปากช่องคลอด หรืออาจจะมีระดูขาวที่มากผิดปกติ มีลักษณะคล้ายแหวะนมเด็ก เป็นเม็ดขาว ๆ ถ้าเป็นมาก ๆ ก็จะคันบริเวณปากช่องคลอด หากเกามาก ๆ ก็จะเกิดการอักเสบต่อไปได้ ซึ่งเมื่อมีอาการเช่นนี้ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อการรักษาต่อไปค่ะ

วาซาบิ ช่วยป้องกันฟันผุ


หลายคนคงจะเคยลองลิ้มชิมรสกับ อาหารญี่ปุ่น กันบ้างแล้ว และหลายคนก็คงจะได้ลองสัมผัสกับความฉุนของเจ้า "วาซาบิ" ที่ถือว่าเป็นเครื่องปรุงอย่างหนึ่งของ อาหารญี่ปุ่น กันแล้ว บางคนอาจจะหลงใหลในรสฉุนดังกล่าว บางคนอาจจะร้องยี้ แต่รู้หรือไม่คะว่า ใน วาซาบิ ที่คุณเขี่ยให้ห่างเวลาทาน อาหารญี่ปุ่น นั้น มีประโยชน์มากมาย ที่นอกจากจะช่วยทำให้โล่งจมูกและอาจช่วยป้องกัน โรคมะเร็งแล้ว ยังอาจจะช่วยป้องกันฟันผุได้ด้วย

นายฮิเดกิ มาซูดะ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของบริษัท โอกาวะ ผู้ผลิตเครื่องปรุงรส ของญี่ปุ่น กล่าวว่า สารประกอบทางเคมีใน วาซาบิ นอกจากทำให้ วาซาบิ มีรสชาติ และกลิ่นรุนแรงแล้ว ยังสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ที่เป็นต้นเหตุของฟันผุ โดยวาซาบิประกอบด้วย ไอโซทิโอไซยาเนตส์ ซึ่งนักวิจัยพบว่า สามารถยับยั้งการผลิตเอนไซม์ที่มีส่วนสำคัญ ในการก่อตัวของหินปูน ก่อนหน้านี้ วาซาบิ เคยมีชื่อเสียงในเรื่องของการป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง และป้องกันโรคหอบหืด

และผลการวิจัยล่าสุด นับเป็นครั้งแรกที่มีการค้นพบว่า วาซาบิ สามารถป้องกันฟันผุได้ แต่เนื่องจากผลการวิจัยยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น นักวิจัยจึงเห็นว่า จำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาค้นคว้ากันต่อไป เพื่อยืนยันในประสิทธิภาพของเครื่องปรุงรสชนิดนี้ และหากผลการทดลองยืนยันว่า ใช้ได้ผลดีกับมนุษย์ เราอาจจะเห็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ วาซาบิ อย่างกว้างขวางรวมทั้งในรูปของยาสีฟัน แต่อาจจะต้องมีการปรับปรุงรสชาติใหม่

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

ดอกดาหลา


ดาหลา : ไม้ดอกไม้ประดับ


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์


ลำต้น
ดาหลาเป็นพืชที่มีลักษณะคล้ายข่า มีลำต้นใต้ดินเรียกว่าเหง้า (rhizome) เหง้านี้ จะเป็น บริเวณที่เกิดของหน่อดอกและหน่อต้น ดาหลา 1 ต้น สามารถให้หน่อใหม่ได้ประมาณ 7 หน่อ ใน เวลา 1 ปี ส่วนลำต้นเหนือดินเป็นกาบใบที่โอบซ้อนกันแน่น เช่นเดียวกับพวกกล้วย ส่วนนี้คือลำต้นเทียม (pseudostem) ลำต้นเหนือดินสูง 2-3 เมตร มีสีเขียวเข้ม

ใบ
มีรูปร่างยาวรี กลางใบกว้างแล้วค่อย ๆ เรียวไปหาปลายใบ และฐานใบ ใบไม่มีก้านใบ ผิวเกลี้ยงท้งด้านบนและด้านล่าง ใบยาว 30-80 เซ็นติเมตร กว้าง 10-15 เซนติเมตร ปลายใบ แหลมฐานใบเรียวลาดเข้าหาก้านใบ เส้นกลางใบปรากฏชัดทางด้านล่างของใบ

ดอก
ดอกดาหลาเป็นดอกช่อมีลักษณะดอกแบบ (head) ประกอบด้วยกลีบประดับ (Bracts) มี 2 ขนาด ส่วนโคนประกอบด้วยกลีบประดับขนาดใหญ่ มีความกว้างกลีบ 2-3 ซ.ม. จะมีสีแดงขลิบขาวเรียงซ้อนกันอยู่และจะบานออก ประมาณ 25-30 กลีบ และมีกลีบประดับ ขนาดเล็กอยู่ส่วนบนของช่อดอก ความกว้างกลีบประมาณ 1 ซ.ม. ซึ่งมีสีเดียวกับกลีบประดับ ขนาดใหญ่ กลีบประดับเล็กนี้จะหุบเข้าเรียงเป็นระดับมีประมาณ 300-330 กลีบ ภายในกลีบ ประดับขนาดใหญ่ที่บานออกจะมีดอกจนิงขนาดเล็กกลีบดอกสีแดง ซึ่งเป็นดอกสมบูรณ์เพศอยู่ จำนวนมาก ดอกบานเต็มที่จะมีขนาดความกว้างดอกประมาณ 14-16 เซนติเมตร ความยาวช่อ 10-15 เซนติเมตร มีก้านช่อดอกยาว 30-150 เซนติเมตร ลักษณะก้านช่อดอกแข็งตรง ดอก จะออกตลอดปีแต่จะให้ดอกดกที่สุดในช่วงฤดูร้อน คือ เดือนมีนาคม - พฤษภาคม ดอกจะ พัฒนามาจากหน่อดอกที่แทงออกมาจากเหง้าใต้ดินลักษณะของหน่อจะมีสีชมพู ที่ปลายหน่อ ดอกดาหลา

พันธุ์
ปัจจุบันพันธุ์ดาหลาที่ปลูกตัดดอกมีอยู่ 2 พันธุ์ด้วยกันคือ พันธุ์สีชมพู และพันธุ์สีแดง

การขยายพันธุ์
ดาหลาสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
1. การแยกหน่อ
ควรแยกหน่อที่มีความเหมาะสมนำไปปลูกคือ สูงประมาณ 60-100 ซ.ม. ขึ้นไปและมีกิ่งอ่อนกึ่งแก่นประมาณ 4-5 ใบ ใช้มีตัดให้มีเหง้า และรากติดอยู่ด้วย ซึ่งหน่อชนิดนี้จะมีหน่อดอกอ่อน ๆ ติดมาด้วยประมาณ 3 หน่อ นำไปชำในถึงพลาสติก 1 เดือนเพื่อให้หน่อแข็งแรงก่อนปลูก
2. การแยกเหง้า
โดยการแยกเหง้าที่เกิดใหม่ที่โคนต้น แล้วนำไปชำในแปลงเพาะชำ วิธีนี้จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงจะเริ่มให้ดอก
3. การปักชำหน่อแก่
โดยนำไปชำในแปลงเพาะชำให้แตกหน่อใหม่แข็งแรง แล้วจึงค่อยย้ายมาปลูกลงแปลงต้นดาหลา

การเตรียมแปลงปลูกดาหลา
พื้นที่ดอน
ทำการพรวน ตากดินไว้ประมาณ 5 - 7 วัน และย่อยดินให้ละเอียดเก็บวัชพืชออกให้หมด

พื้นที่ลุ่ม
ทำการขุดยกร่องสวน มีคูน้ำลึก 1 เมตร กว้าง 1 เมตร แปลงปลูกกว้าง 2-3 เมตร ความยาวตามขนาดของพื้นที่ และมีการไถพรวนตากดินไว้ประมาณ 5-7 วัน เก็บวัชพืชออกให้หมด

การเตรียมดิน
การเตรียมดินโดยไถพรวนดิน แล้วขุดหลุมปลูก จากนั้นใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลุมในกรณีที่ปลูกดาหลาแบบไม่ยกร่องสวน จะทำการไถปรับดินให้สม่ำเสมอ เพิ่มปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีสูตร 20-20-20 ในอัตรา 1 : 25 แล้วขุดหลุมปลูกแบบเดียวกับการปลูกแบบยกร่องสวนนี้อาจปลูกแซมในไม้หลักเช่น ไม้ผล


ระยะปลูก
การปลูกดาหลาจะไม่มีระยะปลูกที่แน่นอน แต่จะขึ้นอยู่กับความต้องการและความสะดวกของเกษตรกรเอง โดยส่วนใหญ่แล้วเกษตรกรจะปลูกในระยะ 2 x 2 เมตร

การปลูก
โดยใช้หน่อที่มีเหง้าและรากติดมาด้วย เหง้าที่ตัดมาควรมีความยาวประมาณ 5 นิ้ว โดยสังเกตุให้หน่อนั้น ๆ มีใบติดมาประมาณ 4 คู่ใบ ปลูกลงในหลุมที่เตรียมไว้ แล้วทำการกลบดินให้สูงประมาณ 6 นิ้ว รดน้ำให้ชุ่ม อาจใช้ดินเลนจากท้องร่องพอกทับโคนต้น เพื่อรักษาความชุ่มชื้น นอกจากนี้ควรหาไม้หลักมาผูกติดกับลำต้นกันต้นโยก

การดูแลรักษาดาหลา
การให้ปุ๋ย
จะให้ปุ๋ยดาหลาประมาณ 2 - 3 เดือนต่อครั้ง ซึ่งจะใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ (16-16-16) ในอัตรา 96 กก./ไร่/ปี และให้ปุ๋ยคอกในอัตรา 15 กก./ต้น/ปี นอกจากนี้อาจใช้อินทรีย์วัสถุที่ผุพังแล้ว เช่น ใบไม้ต่าง ๆ หรือลำต้นแก่ของดาหลา, วัชพืชที่ขึ้นตามท้องร่อง มาเป็นปุ๋ยหมัก หรืออาจใช้ดินเลนจากท้องร่องพูนใส่ตามโค้นต้น ซึ่งดินแลนนี้จะมีอินทรีย์วัตถุสูง

การให้น้ำ
ดาหลาเป็นพืชที่ต้องการน้ำในปริมาณที่มากพอสมควร โดยเฉพาะในระยะเริ่มแรกของการปลูก ควรรดน้ำให้ชุ่ม โดยใช้แครงสาดวันละ 1 ครั้ง เมื่อต้นดาหลาตั้งตัวได้อาจเว้นระยะห่างของการให้น้ำจากวันละครั้งออกไปเป็นประมาณ 2-3 วันต่อครั้ง แต่ต้องคำนึงถึงสภาพอากาศ ถ้าเป็นฤดูร้อนควรเพิ่มการให้น้ำมากขึ้นโดยใช้ระบบการให้น้ำแบบพ่นฝอย (springkler) บนแปลงที่ไม่ยกร่อง


การป้องกันกำจัดวัชพืช
ดาหลาเป็นพืชที่มีการเจริญเติบโตเร็ว แตกหน่อได้มาก ทำให้กอแน่นใบบังแสงซึ่งกันและกัน การกำจัดวัชพืชจะต้องกระทำมากในช่วงแรกของการปลูก เมื่อดาหลาโตมาก ๆ จะทำให้แสงที่ส่องผ่านมากระทบพื้นดินน้อย วัชพืชไม่สามารถเจริญงอกงามได้ จึงไม่ต้องทำการกำจัดวัชพืชมากนัก

โรคและแมลง
ยังไม่พบโรคที่เป็นปัญหาสำคัญกับดาหลา แต่มีแมลงสำคัญดังนี้

1. หนอนเจาะลำต้น
ลักษณะการทำลาย
เข้าทำลายต้นแก่ โดยไปเจาะบริเวณลำต้น ทำให้ต้นดาหลาหยุดชะงักการเจริญเติบโต และไม่สามารถให้ออกดอกได้
การป้องกันกำจัด
ใช้ฟูราดาน 3% โรยบริเวณรอบ ๆ โค้นต้น หรืออาจใช้เซฟวิน

2. มดแดง
ลักษณะการทำลาย
กรดจากสิ่งขับถ่ายของมดแดงจะทำให้กีบดอกเกิดรอยขาวเป็นจุด ๆ
การป้องกันกำจัด
เก็บรังมดแดงออกจากต้น และใช้ย่าฆ่ามด

การเก็บเกี่ยวดาหลา
ดอกดาหลาที่มีความสมบูรณ์พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้มีอายุประมาณ 2 อาทิตย์ นับตั้งแต่เริ่มแทงหน่อดอก ตัดดอกในช่วงเช้าโดยการตัดก้านดอกให้ยาวชิดโคนต้น แล้วแช่ก้านดอกลงในถังที่มีน้ำบรรจุอยู่

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

4 พัฒนาการที่แม่ควรส่งเสริม



ทำไงดี..ลูกเข้าข่ายติดทีวี (Mother&Care)

โทรทัศน์ จอสี่เหลี่ยมที่มีทั้งภาพสีสันสวยงามและเสียงที่น่าตื่นเต้นสำหรับเด็ก ๆ พอได้นั่งอยู่หน้าจอแล้วก็ยากที่จะดึงความสนใจ ออกมาได้ โทรทัศน์อาจมีประโยชน์ในการช่วยเปิดโลกทัศน์ให้เด็ก ๆ ก็จริง แต่ถ้านั่งดูอยู่นานก็อาจเป็นโทษได้โดยเฉพาะกับเจ้าหนู ในวัยเรียนรู้ ทางที่ดีอย่าปล่อยให้อยู่หน้าจอนานจะดีกว่าค่ะ

สัญญาณเมื่อลูกติดโทรทัศน์

ในวันว่างหรือเวลาอยู่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตพฤติกรรมของลูกกับการดูโทรทัศน์ว่ามีพฤติกรรมต่อไปนี้หรือไม่

จดจ่อกับการดูโทรทัศน์ทุกรายการ จนไม่ยอมทำอย่างอื่นไม่ยอมลุกไปไหน

ใช้เวลาอยู่หน้าจอโทรทัศน์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน

ถ้าไม่ให้ดูโทรทัศน์ จะงอแง อารมณ์เสีย

ชอบดูโทรทัศน์มากกว่าออกไปเล่นนอกบ้าน

มีความสุขกับการกินและนั่งดูโทรทัศน์ไปด้วย

มีพฤติกรรมเลียนแบบหรือเล่นรุนแรงตามที่ได้ดูจากรายการโทรทัศน์

หากลูกมีพฤติกรรมเหล่านี้เกิน 2 ข้อ ก็ถึงเวลาที่จะต้องคอยระวังและป้องกันไม่ให้ลูกติดโทรทัศน์ก่อนวัยอันควรแล้วค่ะ

ไม่ดีแน่..ถ้าลูกติดโทรทัศน์

สาเหตุหลักที่อาจทำให้ลูกติดการดูโทรทัศน์ก็คือ พ่อแม่ปล่อยให้ลูกดูโทรทัศน์เพียงลำพัง เพราะภาพ สี เสียง และเรื่องราวที่ผ่านมาทางจอสี่เหลี่ยมสามารถทำให้ลูกอยู่นิ่ง ความสนใจจดจ่อกับการดูโทรทัศน์ได้ เมื่อพ่อแม่ยุ่งไม่มีเวลาดูลูกจึงให้ลูกดูโทรทัศน์เพื่อจะได้ไม่รบกวน ซึ่งในกรณีนี้เกิดขึ้นได้กับการฝากลูกไว้กับพี่เลี้ยงหรือญาติเช่นกัน

ถึงแม้ว่าบางรายการจะมีสาระ และสนุกสนาน แต่ถ้าเด็กจดจ่อกับดูโทรทัศน์ทุกรายการโดยไม่ได้รับการชี้แนะหรือเลือกดู รายการที่เหมาะสมแล้ว ย่อมทำให้ความสนุกนั้นกลับกลายเป็นโทษแทนได้

พัฒนาการด้านร่างกาย : ผลเสียจากการดูโทรทัศน์เป็นเวลานาน นอกจากจะทำให้สายตาเมื่อยล้าแล้ว หากกินขนมไปด้วยก็จะยิ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนตั้งแต่วัยเด็ก และยังทำให้ลูกนั่งอยู่กับที่เฉย ๆ เป็นเวลานาน ไม่ได้วิ่งเล่นกลางแจ้ง เคลื่อนไหวร่างกาย หรือทำกิจกรรมอื่น ซึ่งจะส่งผลให้ลูกขาดทักษะในการใช้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ทำให้กล้ามเนื้อไม่แข็งแรงและเสียบุคลิกภาพด้วย

พัฒนาการด้านสติปัญญาและอารมณ์ : การดูโทรทัศน์นาน ๆ เป็นประจำจะทำให้เด็กเรียนรู้ช้า ขาดจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เพราะไม่ได้เล่นหรือเรียนรู้ของจริงจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทั้งยังทำให้เด็กแยกแยะไม่ออกระหว่างความจริงกับความลวงที่ได้เห็นจากรายการโทรทัศน์ เห็นความรุนแรงเป็นเรื่องธรรมดาและจดจำพฤติกรรมก้าวร้าวได้ เช่น รายการหรือการ์ตูนที่มีการต่อสู้ มุขตลกแบบรุนแรง ตัวการ์ตูนที่โดนรถทับ แต่ไม่เป็นอะไร ก็จะทำให้เด็กอาจเข้าใจว่าเป็นเรื่องสนุกและทำได้จนเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ และการติดโทรทัศน์ยังทำให้เด็กมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนรู้หรือทำกิจกรรม อื่น ๆ น้อยลงด้วย

นอกจากนี้ การติดโทรทัศน์มักจะทำให้เด็กมีอารมณ์แปรปรวน ใจร้อน หงุดหงิดง่าย และเมื่อจดจ่ออยู่กับการดูโทรทัศน์แล้ว หากถูกห้ามไม่ให้ดูก็อาจทำให้เด็กงอแงได้

พัฒนาการด้านสังคม : เด็กจะขาดทักษะในการเข้าสังคม เพราะโทรทัศน์มีรูปแบบการสื่อสารทางเดียว และการที่ไม่ได้เล่นกับเด็กคนอื่น จะทำให้ขาดการเรียนรู้การสื่อสาร โต้ตอบหรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จนทำให้กลายเป็นเด็กที่มีโลกส่วนตัวสูง และส่งผลให้พัฒนาการด้านการพูดล่าช้าตามไปด้วย

ดึงลูกออกจากหน้าจอ

หากลูกมีท่าทีว่าจะเริ่มติดโทรทัศน์แล้ว ก็ควรรีบดึงลูกออกจากหน้าจอตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็ยังไม่สายเกินไปค่ะ

จำนวนโทรทัศน์ : ควรมีน้อยกว่าจำนวนสมาชิกในบ้านและไม่มีโทรทัศน์ในห้องส่วนตัว

เวลาดูโทรทัศน์ : ควรกำหนดเวลาในการดูโทรทัศน์เพื่อไม่ให้ลูกใช้เวลาอยู่หน้าจอนานจนเกินไป

อายุไม่ถึง 2 ขวบ ไม่ควรให้ดูโทรทัศน์เลย

อายุ 2-5 ขวบ ไม่ควรดูโทรทัศน์เกิน 1-2 ชั่วโมงต่อวัน (หรือรวมแล้ว ไม่ควรเกิน 7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์)

หากลูกดูโทรทัศน์เกินเวลาที่กำหนดก็ต้องงดดูในวันถัดไป กล่าวชมเชยเมื่อลูกทำตามที่ตกลงได้ และพ่อแม่ก็ต้องดูโทรทัศน์ให้น้อยลงด้วย

ดูโทรทัศน์พร้อมลูก : พ่อแม่ควรดูโทรทัศน์พร้อมกับลูก เลือกสรรรายการที่เหมาะกับวัยของลูก สนุกแต่ให้สาระ แล้วใช้รายการเป็นตัวนำในการสอน พูดคุยและเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก ไม่ควรให้ลูกกินไปดูโทรทัศน์ไป เพราะจะทำให้เด็กเคยชินกับการดูโทรทัศน์ เวลา กินข้าวและทำให้กินมากหรือน้อยเกินความต้องการได้

ไม่ใช้การดูโทรทัศน์ต่อรองพฤติกรรมลูก : ไม่ควรให้รางวัลหรือทำโทษลูกโดยการให้หรืองดดูโทรทัศน์
หากิจกรรมอื่นให้ลูกทำ : การให้ลูกทำกิจกรรมอื่นเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ได้ผลดี ใช้เวลาร่วมกันในครอบครัว เล่านิทาน เล่นขายของ วาดรูป เล่นกับสัตว์เลี้ยง ฝึกทำอาหาร หรือการเล่นในรูปแบบอื่น เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ในการใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไปพร้อม ๆ กับการใช้จินตนาการ จิตใจผ่อนคลาย และครอบครัวมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันมากขึ้น

ลดความหยาบกร้าน ด้วยน้ำตาล



ใครที่รู้สึกว่าผิวเริ่มหยาบกร้าน ทาครีมเท่าไหร่ก็ไม่หาย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีลดความหยาบกร้านด้วยน้ำตาลมาฝาก...

วิธีแรก เริ่มด้วยการผ่ามะนาวเป็น 2 ซีก แล้วนำมาขัดที่รอยหยาบกร้านเบา ๆ หรือจะเปลี่ยนจากมะนาวเป็นมะขามเปียกก็ได้ แค่นี้รอยหยาบกร้านก็จะค่อย ๆ หายไป ควรทำสัปดาห์ละครั้ง หรือทุกครั้งที่มีเวลา และทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลดี

วิธีที่สอง คือ นำน้ำตาลทรายมาผสมกับเบบี้ออยล์ ทาที่ผิวหยาบกร้าน ทิ้งเอาไว้ 15 นาที หลังจากนั้นก็ใช้ใยบวบถูเป็นวงกลมเบา ๆ น้ำตาลจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออกส่วนน้ำมันจะให้ความชุ่มชื่นกับผิว เสร็จแล้วอย่าลืมทาครีมบำรุงผิว โดยเลือกที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง ทาเป็นประจำ

เลือกของใส่บาตรตามวันเกิด


วันอาทิตย์

อาหารคาว : ประเภทไข่ ดาว เจียว ผัด ลูกเขย ลูกสะใภ้ ต้ม แกงกะทิ

อาหารหวาน : ไข่หวาน มะพร้าวอ่อน มะพร้าวแก้ว ขนมใส่กะทิ น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะพร้าว น้ำขิง เงาะ

ของถวายพระ : หลอดไฟ ไฟฉาย เทียน ธูป อุปกรณ์แสงสว่าง แว่นตา หมากพลู

ไหว้พระ : ปางถวายเนตร (พระประจำวันเกิด) กำลังวันเท่ากับ 6 (สวดแบบย่อ อะ วิช สุ นุส สา นุต ติ)

ทำทาน : เติมน้ำมันตะเกียงตามวัด คนตาบอด โรงพยาบาลโรคตา มูลนิธิคนตาบอด โรงพยาบาล โรคหัวใจ มูลนิธิโรคหัวใจ

พฤติกรรม : ออกรับแสงอาทิตย์อ่อนๆ ช่วงเช้าหรือเย็นๆ เพื่อให้เกิดพลัง อย่าใจร้อน เลิกทิฐิ ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

วันจันทร์

อาหารคาว : ประเภทสัตว์ปีก สัตว์น้ำ เช่นไก่ผัดขิง ไก่ย่าง ไก่ทอดปูผัดผงกะหรี่ ปูนึ่ง ข้าวมันไก่ ข้าวผัดปู เต้าหูทอด แกงจืดเต้าหู้ แกงเผ็ดเป็ดย่าง ปลาสลิดทอด

อาหารหวาน : น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง น้ำอ้อย โดนัท นมสด นมกล่อง เผือก มัน ลางสาด ขนมเปี๊ยะ

ของถวายพระ : แก้วน้ำ แจกัน ของโปร่งๆ ใสๆ

ไหว้พระ : ปางห้ามญาติ (พระประจำวันเกิด) กำลังวัน เท่ากับ 15 (สวดแบบย่อ อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา)

ทำทาน : มูลนิธิช่วยเหลือสตรี

พฤติกรรม : ทำจิตใจให้สดชื่น แจ่มใส อยู่เสมอ อย่าวิตกกังวลเกินเหตุ ให้ความช่วยเหลือสตรีเช่นลุก ให้สตรีนั่งบนรถเมล์บริหารกล้ามเนื้อหน้าอกให้แข็งแรง

วันอังคาร

อาหารคาว : อาหารประเภทเส้น ขนมจีน วุ้นเส้น บะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว เนื้อวัว ปลาช่อนตากแห้งทอด

อาหารหวาน : ฝอยทอง สลิ่ม ลอดช่อง ทุเรียน ระกำ ขนุน น้ำสไปร์ท น้ำอัดลม

ของถวายพระ : เหล็ก เครื่องมือประเภทเหล็ก กรรไกร แปรงสีฟัน ยาสีฟัน พัดลม กรรไกรตัดเล็บ

ไหว้พระ :ปางไสยาสน์ (พระนอน) มีกำลังเท่ากับ 8 (สวดแบบย่อ ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง)

ทำทาน : คนพิการทางปาก ปากแหว่ง ผู้ป่วยโรคลมชัก

พฤติกรรม : ทำตัวให้กระฉับกระเฉง ตื่นตัว ขยันให้มากขึ้น ลดอารมณ์ร้อน การชิงดีชิงเด่น

วันพุธ (กลางวัน)

อาหารคาว : เน้นสีเขียว หมู แกงเขียวหวานหมู หมูปิ้ง หมูทอด ผัดพริกหมู ฯ คะน้าน้ำมันหอย กุนเชียง

อาหารหวาน : ขนมเปียกปูนเขียว น้ำฝรั่ง ชมพู่เขียว องุ่นเขียว มะม่วงเขียวเสวย ฝรั่ง ชามะนาว

ของถวายพระ : สมุด กระดาษ ปากกา ดินสอ อุปกรณ์การเรียนการศึกษา

ไหว้พระ : ปางอุ้มบาตร (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 17 (สวดแบบย่อปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท )

ทำทาน : คนพิการทางหู โรงพยาบาลโรคสมอง โรงเรียนสอนคนหูหนวก

พฤติกรรม : อ่านหนังสือธรรมะ ร้องเพลง ฝึกสร้างความมั่นใจให้ตนเอง

วันพุธ (กลางคืน)

อาหารคาว : ของหมักดอง ผักกาดดองผัดไข่ อาหารกระป๋อง แกงใบยอ หมูยอ แหนม ไข่เยี่ยวม้า ห่อหมก

อาหารหวาน : ข้าวหมาก ขนมเปียกปูนดำ เฉาก๊วย ข้าวเหนียวดำ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ผลไม้หัวโตๆ ทุเรียน

ของถวายพระ : พัดลม เทปธรรมะ ยาแก้โรคลม ยาหอม

ไหว้พระ : ปางป่าเลไลย์ (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 12 (สวดแบบย่อ คะ พุท ปัน ทู ธัม วะ คะ)

ทำทาน : มูลนิธิหรือหน่วยงานที่เกี่ยวกับยาเสพติด

พฤติกรรม : เลิกบุหรี่ เลิกดื่มหรือลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เลิกการพนัน เลิกทำตัวเหลวไหล เลิกเที่ยวกลางคืน เลิกยาเสพติดทุกชนิด

วันพฤหัสบดี

อาหารคาว : ประเภทเถา แกงเลียง บวบผัดไข่ น้ำเต้า

อาหารหวาน : แตงโม แตงไทย น้ำสมุนไพร ส้ม สาลี่ น้ำมะตูม น้ำว่านหางจระเข้

ของถวายพระ : สบง จีวร หนังสือธรรมะ ตู้ยา โต๊ะหมู่บูชา

ไหว้พระ : ปางสมาธิ (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ ๑๙ (สวดแบบย่อ ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ)

ทำทาน : โรงพยาบาลสงฆ์ บริจาคข้าวสาร เสื้อผ้า ผ้าห่มกันหนาว

พฤติกรรม : นั่งสมาธิ สวดมนต์ ถือศีล๕ อย่าซื่อจนเกินไป

วันศุกร์

อาหารคาว : ประเภทของหอม หวาน ข้าวหอมมะลิ ผักกาดหอม ไข่เจียวหอมใหญ่ ยำหัวหอม

อาหารหวาน : ขนมหวาน หอมทุกชนิด น้ำเก๊กฮวย ผลไม้ที่มีกลิ่นหอม กล้วยหอม เค้ก

ของถวายพระ : นาฬิกา โต๊ะรับแขก ดอกไม้สวยหอม ระฆัง ย่าม

ไหว้พระ : ปางรำพึง (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 21 (สวดแบบย่อ วา โธ โน อะ มะ มะ วา)

ทำทาน : เด็กด้อยโอกาส ให้เงิน ให้เสื้อผ้า อาหารที่หอมหวานชวนกิน เช่น ไอศกรีม

พฤติกรรม : ทำตัวให้สดชื่นแจ่มใส บำรุง ดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่ตลอด จัดสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ สวยงาม เลิกการฟุ่มเฟือย

วันเสาร์

อาหารคาว : ประเภทของขม ของดำมะระยัดไส้ สะเดาน้ำปลาหวาน น้ำพริกปลาทู มะเขือยาว

อาหารหวาน : ลูกตาลเชื่อม กาแฟ โอเลี้ยง

ของถวายพระ : ร่มสีดำ กระเบื้องมุงหลังคา ไม้กวาด สร้างห้องน้ำถวายวัด

ไหว้พระ : ปางนาคปรก (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 10 (สวดแบบย่อ โส มา ณะ กะ ระ ถา โธ)

ทำทาน : โรงพยาบาลโรคจิต โรงพยาบาลโรคประสาท

พฤติกรรม : กวาดลานวัด ล้างห้องน้ำวัด ไม่เครียด มองโลกในแง่ดี ขยะในบ้านยกทิ้งทุกวัน อย่าหมักหมม

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับการบำรุงผิวหน้าด้วยผลไม้



วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ ขอแนะเคล็ดลับวิธีการบำรุงผิวหน้าด้วยสูตรธรรมชาติจากผลไม้มาบอก...


เริ่มจาก นำมะละกอสุกบดละเอียดประมาณ 2 ช้อนชา พอกหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำเป็นประจำวันละครั้ง ผิวหน้าจะเนียนขึ้นและช่วยลดริ้วร้อย


โลชั่นน้ำผลไม้ นำน้ำแตงกวา น้ำมะเขือเทศ น้ำมะนาว และน้ำแตงโม อย่างละ 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน จากนั้นใช้สำลีแต้มส่วนผสมเช็ดเบาๆให้ทั่วใบหน้า เพื่อช่วยสมานผิวและกระชับรูขุมขนแทนการใช้โทนเนอร์

มอยส์เจอไรเซอร์น้ำผึ้ง ใช้น้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา อุ่นด้วยไฟอ่อนๆ ประมาณครึ่งนาที จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็นแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงเช็ดออกแล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ผิวหน้าเนียนนุ่มขึ้น วิธีนี้ยังช่วยกำจัดสิวหัวดำอีกด้วย


สุดท้าย โลชั่นน้ำนมผสมเปลือกกล้วยหอม ใช้เปลือกกล้วยหอมสุก 1 ผล ล้างให้สะอาดแล้ว หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เติมน้ำนมสดลงไปประมาณครึ่งถ้วย บดให้ละเอียดเข้ากัน ใช้แทน โลชั่นสำหรับผิวแห้งหรือเกรียมแดด ทั้งยังช่วยขจัดฝุ่นละออง ที่คั่งค้างอยู่ตามผิวหน้า ด้วยโลชั่นน้ำนมเปลือกกล้วยนี้สามารถเก็บใส่ขวดแช่ในตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้

ให้เด็กซดน้ำแอปเปิ้ล ป้องกันโรคหอบหืด



วารสารยูโรเปียน เรสปิเรทอรี รายงานผลการศึกษาของนักวิจัย จากสถาบันวิจัยโรคหัวใจและโรคปอดแห่งชาติ พบว่า เด็กที่ดื่มน้ำแอปเปิ้ลอย่างน้อยวันละครั้งจะช่วยลดการหายใจเสียงดังฟืดฟาด อันเป็นกลุ่มอาการของโรคหอบหืดลงได้ครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับกลุ่มเด็กที่ดื่มน้ำแอปเปิ้ลน้อยกว่าเดือนละครั้ง แต่ผลการศึกษาสรุปว่าการกินแอปเปิ้ลสดไม่ได้ให้ผลอย่างเดียวกัน

ในการศึกษาครั้งนี้ได้ถามผู้ปกครองของเด็กนักเรียนอายุระหว่าง 5-10 ปี ที่อาศัยอยู่ในเขตกรีนนิชในกรุงลอนดอน เกี่ยวกับการกินผลไม้ของเด็ก ๆ และกลุ่มอาการของโรคที่เด็กแสดงอาการออกมา ในขณะที่ไม่มีรายงานที่แสดงความเชื่อมโยงระหว่างการดื่มน้ำผลไม้แอปเปิ้ล กับการลดลงของการมีอาการโรคหอบหืดจริง ๆ แต่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการหายใจเสียงดังฟืดฟาดลดลง กับการดื่มน้ำผลไม้ชนิดนี้ มีผลค่อนข้างหนักแน่น

การหายใจมีเสียงดังฟืดฟาดนั้นนับเป็นสัญญาณสำคัญอย่างหนึ่ง ที่แสดงว่าเด็กจะมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเป็นโรคหอบหืด รายงานแจ้งด้วย ว่าน้ำแอปเปิ้ลนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำแอปเปิ้ลสด อาจเป็นน้ำแอปเปิ้ลสกัดเข้มข้นก็ใช้ได้เหมือนกัน

นาซ่าพบดาวเคราะห์ใหม่ 5 ดวง นอกสุริยะจักรวาล


องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐ (นาซา) แถลงเมื่อวันจันทร์ (4 ม.ค.) ว่ากล้องโทรทรรศน์อวกาศเคพเลอร์ได้ค้นพบดาวเคราะห์ใหม่ 5 ดวงนอกระบบสุริยะจักรวาล ซึ่งจะช่วยให้เรามีความเข้าใจเรื่องการก่อกำเนิดของระบบดาวเคราะห์ ซึ่งเชื่อว่าวิวัฒนาการมาจากการก่อตัวจากกลุ่มก๊าซ และแผ่นจานฝุ่นหมอกจนกลายมาเป็นดวงดาว และดาวเคราะห์ได้ดีขึ้นยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ดาวเคราะห์ทั้ง 5 ดวง ซึ่งโคจรอยู่รอบดวงดาวในกาแล็กซีทางช้างเผือกนี้ร้อนเกินกว่าที่จะมีสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จักกันอาศัยอยู่ได้ โดยดาวเคราะห์กลุ่มที่เพิ่งถูกพบนี้ถูกเรียกรวม ๆ ว่า "ดาวพฤหัสบดีร้อน" หรือ "ฮอต จูปิเตอร์" ด้วยความที่มีมวลสารขนาดมหึมา และอุณหภูมิที่ร้อนจัดระหว่าง 1,204-1,649 องศาเซลเซียส ซึ่งร้อนกว่าลาวาหลอมเหลวเสียอีก

ดาวเหล่านี้มีวงโคจรอยู่ระหว่าง 3-5 วัน ดวงเล็กที่สุดมีขนาดพอ ๆ กับดาวเนปจูน ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ในระบบสุริยจักรวาล ส่วนดวงที่ใหญ่ที่สุดนั้นมีขนาดเท่า ๆ กับดาวพฤหัสบดี ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยจักรวาล

การค้นพบครั้งนี้มีขึ้นภายหลังจากที่กล้องเคพเลอร์ถูกส่งขึ้นไปโคจรในห้วงอวกาศเพื่อค้นหาดาวเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายโลกได้เพียง 10 เดือนเท่านั้น โดยเคพเลอร์ถือเป็นภารกิจแรกของนาซาในการค้นหาดาวเคราะห์คล้ายโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์แบบเดียวกับโลก

เคพเลอร์ถูกปล่อยขึ้นฟ้าเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ติดตั้งกล้องโทรทรรศน์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยส่งออกสู่อวกาศ และคาดว่าจะส่งข้อมูลกลับมายังโลกได้ไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2555 เป็นอย่างน้อย

กลิ่นบำบัด


กลิ่นหอม ๆ เปรียบเสมือนดอกไม้ที่ให้ความรู้สึกที่ดี ๆ กับเราและยังช่วยผ่อนคลายความเครียด นอกจากนี้ กลิ่นอะโรมาบางชนิดยังช่วยให้จิตใจสงบหรือครึกครื้นได้อีกด้วย ลองเลือกกลิ่นที่คุณชอบและบำบัดจิตใจดูสิคะ

มินต์ ช่วยให้สดชื่นในยามเช้า เจลอาบน้ำกลิ่นมิ้นต์จะช่วยให้กระปรี่กระเปร่า ขับไล่ความง่วง กลิ่นน้ำมันหอมระเหยของมินต์ช่วยกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียน ช่วยให้ภูมิต้านโรคแข็งแรงและแช่มชื่น นอกจากนี้ ความเย็นของน้ำมันกลิ่นมินต์ ยังช่วยให้จิตใจเบิกบานพร้อมที่จะเริ่มต้นวันใหม่

มะนาว ช่วยให้มีสมาธิ ช่วยให้ห้องทำงานหรือบ้านสดชื่น ลองหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นมะนาวในตะเกียง กลิ่นสดชื่นของมะนาวจะช่วยต้านความเครียดในสมอง และกระตุ้นให้มีความคิดสร้างสรรค์ สมองปลอดโปร่ง ทำงานได้เร็วขึ้นและผิดพลาดน้อยลง รับรองว่าบอสของคุณต้องชอบแน่ ๆ

ส้ม สำหรับยามบ่ายที่คิดอะไรไม่ออก ความเครียดสะสมเพราะเวลา 16.00 น. คนส่วนมากจะรู้สึกเหนื่อยอ่อนและง่วงนอน ความเครียดและความว้าวุ่นโจมตี แต่น้ำมันหอมระเหยกลิ่นส้มสามารถช่วยได้ โดยการหยดใส่นิ้วแล้วนวดเบา ๆ ที่ขมับ กลิ่นหวานอุ่น ๆ จะช่วยให้อารมณ์ดีและลดความเครียดจิตใจสงบ มีพลังใหม่ ๆ ในการจัดการกับหน้าที่การงานต่อไป

วานิลลา เมื่อเลิกงานหรือทำงานบ้านเสร็จ เรามักรู้สึกเหนื่อยเพลียและอารมณ์ไม่ดี อะโรมากลิ่นวานิลลา สามารถช่วยให้คุณรู้สึกสุขสงบและช่วยให้อารมณ์แจ่มใส ลองหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นวานิลลาสองสามหยด ลงบนผ้าเช็ดหน้าแล้วสูดดมเป็นครั้งคราว หรือวางไว้ข้างตัวระหว่างขับรถกลับบ้าน

ลาเวนเดอร์ ช่วยให้นอนหลับฝันดี หากคุณเป็นคนที่นอนหลับยาก ลองให้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยสิคะ เพราะมันจะช่วยผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยให้ความคิดสงบและช่วยให้นอนหลับพักผ่อนได้เต็มที่ ข้อแนะนำก็คือ ใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์นวดที่แขนและขาอย่างเบา ๆ

ตลาดน้ำสี่ภาค


ตลาดน้ำสี่ภาค ตั้งอยู่เลยพัทยาใต้ไปทางสัตหีบเพียงไม่ถึง 10 กิโลเมตร ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่กว่า 23 ไร่ ริมถนนสุขุมวิท แต่เดิมพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่ากกขนาดใหญ่ ต่อมามีการรื้อป่ากกออกเพื่อปรับปรุงพื้นที่ จึงรู้ว่าภายใต้ป่ากกที่รกรุงรังยังมีบึงธรรมชาติขนาดใหญ่อยู่ เลยเกิดไอเดียบรรเจิดเนรมิตรบึงแห่งนี้ให้กลายมาเป็น "ตลาดน้ำ" ให้ผู้คนได้สัมผัสความเป็นไทย ๆ จึงจำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไทยที่เรียบง่าย เพื่อให้ผู้คนได้เรียนรู้วิถีพอเพียงดั้งเดิมที่ผูกพันกับสายน้ำตั้งแต่อดีตสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการเรียนรู้ภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีเสน่ห์ที่น่าหลงใหลใน 4 ภาค ของประเทศไทย ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้

อีกทั้งยังเล็งเห็นว่าควรจะนำเอาของดีของเด่นทั้ง 4 ภาค มารวมไว้ด้วยกัน จึงกลายมาเป็น "ตลาดน้ำสี่ภาค" สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แหล่งรวมศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และสินค้าต่าง ๆ ทั้ง 4 ภาคของไทยเอามารวมไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว

ปลูกไม้มงคลตามปีเกิด เสริมโชคชะตารับปีใหม่



ปีขาล เชื่อว่าเทวดานางฟ้าสถิตอยู่ที่ต้นขนุน คนสมัยก่อนเชื่อว่า ต้นขนุนต้องปลูกหลังบ้าน แต่จริง ๆ แล้วต้องปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน ขณะเดียวกันอาจใส่บาตรด้วยเนื้อขนุน เม็ดขนุนต้ม ขณะเดียวกันถ้ามีเนื้อที่ในบ้านควรปลูกต้นไม้ที่มีกิ่งก้านสาขาแตกแขนง ออกไปมาก ๆ เช่น ต้นชัย พฤกษ์ ต้นมะม่วง เป็นต้น

ปีเถาะ ควรปลูกมะพร้าว หรือผลไม้ตระกูลหมาก เช่น หมากผู้หมากเมีย หมากหอม ควรปลูกทางทิศเหนือ หรือตะวันออก ขณะเดียวกันควรปลูกต้นแสงจันทร์จะทำให้คนเกิดปีเถาะมีอารมณ์ดี ปรับอารมณ์ให้มีความสุข เมื่อเห็นต้นแสงจันทร์ซึ่งเป็นแสงสีนวลและใบนวลสวยเย็นตาจะนำความสงบ สมาธิ และสติมาให้คนเกิดปีเถาะ ต้นไม้ที่ควรหลีกเลี่ยงคือ ไม้พุ่มเตี้ยที่มีหนามหรือใบที่มีหนามแหลมคม เช่น ต้นกระบองเพชร ว่านหางจระเข้

นอกจากนี้ควรปลูกดอกไม้ที่มีสีสันสวยงามมีลักษณะเป็นไม้เลื้อย เช่น แพรเซี่ยงไฮ้ คุณนายตื่นสาย โดยพื้นที่ปลูกควรมีลักษณะค่อนข้างโล่งและเป็นเนิน โดยเฉพาะเนินทางด้านทิศตะวันออกหรือซ้ายมือของบ้าน

6 เรื่องดี ๆ จากสตรอวเบอร์รี่!


6 เรื่องดี ๆ จากสตรอวเบอร์รี่!
ใครวางแผนไปเที่ยวเชียงใหม่ยกมือขึ้น! อย่าลืมซื้อสตรอวเบอร์รี่มาฝากกันบ้างนะจ๊ะ เพราะเขาบอกว่าเจ้าผลไม้น่าเอ็นดูชนิดนี้มีประโยชน์มากมายเลยล่ะ

1.ดูแลสายตา

ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่อเราอายุมากขึ้น ดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายความแก่ชราจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอวเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติอีกด้วย

2.ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์

เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานนาน ๆ เข้า กล้ามเนื้อของเราก็มีแต่จะถดถอยของเหลว บริเวณข้อต่อกระดูก็จะเหือดแห้งลงไปเรื่อย ๆ และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา แต่อย่าห่วงไป เพราะเราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสรรพคุณล้างพิษของสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

3.กำราบโรคมะเร็ง

กินสตรอวเบอร์รี่ทุกวันสิคะเซลล์มะเร็ง และเนื้องอกต้องชิดซ้ายหลีกทางให้แก่สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี โฟเลต และแอนโธไชยานินส์ ที่มีอยู่มากมายในสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

4.ส่งเสริมการทำงานของสมอง

ยิ่งแก่ยิ่งขี้หลงขี้ลืม เพราะเนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมสภาพจากอนุมูลอิสระตัวร้าย ซึ่งสตรอวเบอร์รี่ช่วยได้ เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาท แถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

5.ลดความดันโลหิต

หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอวเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติค่ะ

6.ปราบโรคหัวใจ

ใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินบีบางชนิดที่พบได้ในสตรอวเบอร์รี่ จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย

bonjour

Je m'appelle Kanravee Nedsaree


*-*Je n'aime pas les gens qui sont égoïstes,capricieux,bagerreur,agressif et hypocrites.
*-*Je suis gai et sociable mais Je n'aime pas timide .
*-*Je suis dynamique , sociable , curieuse , ambitieuse et confiante.

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับง่ายๆ ของดวงตาสดใส




เคล็ดลับง่ายๆ ของดวงตาสดใส

ถ้าคุณมีดวงตาที่ดูเหนื่อยล้าจากการอดนอน และไม่อยากให้ใครเห็นความหม่นหมองนั้น

คุณก็ควรหาคอนซีลเลอร์ดี ๆ มาพกติดกระเป๋าไว้ เพราะถ้าคุณรู้วิธีใช้คอนซีลเลอร์เพื่อปิดรอยคล้ำใต้ตาแล้วล่ะก็ ดวงตาของคุณก็จะดูเหมือนได้นอนมาเต็มอิ่มตลอดทั้งคืน และนี่คือเคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ดวงตาของคุณดูสดใสซะยิ่งกว่านอนมาเต็มตื่นซะอีก นั่นก็คือหลังจากคุณทาคอนซีลเลอร์เรียบร้อยแล้ว ก็แต้มผลิตภัณฑ์เพิ่มความสว่างเรืองรองชนิดน้ำลงในบริเวณใต้ตาเล็กน้อย แล้วเกลี่ยออกไปทางหางตา เลยขึ้นไปจนถึงใต้คิ้ว สารสะท้อนแสงอ่อน ๆ ในผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ จะช่วยสะท้อนแสงออกไปจากผิวของคุณ ส่งผลให้ดวงตาดูสดใสขึ้น จนไม่มีใครจับได้ว่าคุณอดหลับอดนอนไปทำอะไรมาเมื่อคืนนี้

เคล็ดลับการรักษาผิวให้ดูสาวอยู่เสมอ



เคล็ดลับการรักษาผิวให้ดูสาวอยู่เสมอ (เดลินิวส์)

วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ ขอแนะเคล็ดลับวิธีการรักษาผิวให้ดูสาวอยู่เสมอแบบง่าย ๆ มาฝาก...

เริ่มจาก ทาครีมกันแดด เพราะ 80 % ของการเสื่อมของผิวหนังเกิดจากแสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น

ท่านอนทำให้เกิดริ้วรอย คนที่ชอบนอนซุกหน้ากับหมอนจะทำให้ใบหน้าด้านที่ตะแคงเข้าหาหมอนเกิดริ้วรอย มากกกว่าอีกด้านหนึ่ง และคนที่ชอบเอามือก่ายหน้าผาก ก็จะทำให้เกิดริ้วรอยได้เหมือนกัน สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยการเปลี่ยนมานอนหงายหรือใช้ปลอกหมอนเนื้อผ้าลื่น ๆ อย่างผ้าซาติน

อดนอน การพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากทำให้สุขภาพทรุดโทรมแล้ว ใบหน้าก็ดูหมองคล้ำ อิดโรย หากอดนอนบ่อย ๆ จะทำให้ริ้วรอยมาเยือนก่อนวัย

กินอาหารดี ๆ มีประโยชน์ ให้ครบหมวดหมู่จะช่วยให้ผิวพรรณสดใสได้ โดยเฉพาะพวกวิตามินเอ ซีและอี

กระดูกแข็งแรง คุณสร้างได้



กระดูกแข็งแรง คุณสร้างได้ (สุขภาพดี)

ไม่ว่าวัยไหน คุณคงอยากมีกระดูกแข็งแรงไว้เป็นเพื่อนคู่ใจไปตลอดชีวิต ซึ่งการมีกระดูกแข็งแรงไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นเรื่องที่ต้องดูแลแบบสะสมไว้ตลอดตั้งแต่เด็ก

Check List สัญญาณเมื่อกระดูกพรุนเริ่มมาเยือน

วัดส่วนสูงแล้ว เตี้ยลงกว่าเดิม

ก้มหน้าแล้วรู้สึกท้ายทอยไม่ค่อยมีแรง

ปวดหลังบ่อย ๆ

หลังค่อมลงกว่าเดิมมาก

เป็นตะคริวบ่อย

แคลเซียม แร่ธาตุจำเป็นที่ไม่ได้มีแค่ในนม

นอกจากนมแล้ว ยังมีอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียมหลากหลายชนิด อาทิ

ผักต่าง ๆ โดยเฉพาะผักใบเขียว ผักกาดหอม ผักกาดแก้ว

ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม เช่น ชีส

อาหารประเภทเนื้อสัตว์อย่างเนื้อวัวไม่ติดมัน เนื้อปลา เนื้อไก่

ถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ข่าวกล้อง เส้นพาสต้าที่ทำมาจากข้าวกล้อง

ทำไม...กระดูกจึงพรุน

คุณทราบหรือไม่ว่า แท้จริงแล้วการที่เราทานแคลเซียมเข้าไปมาก ๆ นั้น ไม่ได้ช่วยในการเสริมสร้างความหนาแน่นของกระดูก แต่เราต้องทานแคลเซียมให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพราะหากไม่เพียงพอ ร่างกายจะดึงแคลเซียมที่ต้องการใช้มาจากกระดูกแทน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กระดูกพรุน

นอกจากนั้นสาเหตุของโรคกระดูกพรุน ไม่ได้มีแค่เรื่องร่างกายขาดแคลเซียมเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับแร่ธาตุในกระดูก รวมถึงเนื้อเยื่อที่ทำการเก็บแร่ธาตุไว้ในกระดูก เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสเฟต และวิตามินต่าง ๆ เพื่อร่างกายจะนำไปสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรงและหนาแน่นขึ้น เพราะหากความหนาแน่นของกระดูกมีน้อยแล้ว เมื่อหกล้มหรือเกิดอุบัติเหตุใด ๆ กระดูกของเราที่เปราะบางอยู่แล้วก็จะแตกหักง่าย แถมยังหายช้าอีกด้วย

วิธีห่างไกลจากโรคกระดูกพรุน

1.การออกกำลังกาย เพราะเมื่อเราออกกำลังกาย กล้ามเนื้อต่าง ๆ ก็จะแข็งแรงมากขึ้น และเมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรง กระดูกของเราก็จะมีความหนาแน่นมากขึ้นด้วย

2.ทานอาหารที่มีแคลเซียม ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ข้อนี้สำคัญไม่แพ้กัน เราควรทานแคลเซียมให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัย ดังตาราง

วิธีเลือกแว่นกันแดด



วิธีเลือกแว่นกันแดด (Momypedia)
โดย: นพพร สันธิศิริ

แว่นแพงใช่จะดีเสมอไป

เพราะชั้นโอโซนมันถูกทำลายหรือยังไงนะ เวลาออกไปกลางแจ้งทีเราแทบจะลืมตากันไม่ได้เลย เพราะเดี๋ยวนี้แดดแรงมาก ก็ต้องควักแว่นกันแดดขึ้นมาใส่ แต่เอ๊...แว่นแบบไหนล่ะที่จะป้องกันดวงตาของเราได้ดีที่สุด

นพ.พัฒน ธัญญกิตติกุล ประจำภาควิชาจักษุวิทยา วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล อธิบายให้ฟังง่าย ๆ ว่าแว่นกันแดดที่ดีมีลักษณะอย่างไร และคุณหมอยังกรุณาแถมความรู้อื่น ๆ เกี่ยวกับการใช้แว่นกันแดดมาให้ด้วยครับ

แว่นกันแดดที่ดีไม่ใช่แว่นราคาแพงเสมอไป แต่แว่นกันแดดที่ดีคือแว่นที่สามารถป้องกันรังสี UV ให้กระทบดวงตาเราน้อยที่สุด ซึ่งขึ้นอยู่กับสารที่เคลือบเลนส์ ส่วนราคาที่แพงนั้นอาจจะมาจากคุณภาพของวัสดุ การดีไซน์ ตลอดจนการทำการตลาดของแบรนด์แว่น

ลักษณะของแว่นกันแดดที่ดี

1.การจะดูว่าแว่นสามารถป้องกันรังสี UV (Ultraviolet) ได้ดีแค่ไหน ต้องดูค่า CE ที่ฉลากซึ่งมาพร้อมกับตัวแว่น

และรังสี UV นี้ก็มี 2 ชนิด คือ UVA และ UVB ซึ่ง UVA นั้นต้องกันได้มากกว่า 60% ส่วน UVB ต้องกันได้มากกว่า 99% แต่ถ้าไม่ได้ระบุชนิดของรังสี ก็ควรจะกัน UV ได้ไม่ต่ำกว่า 70%

2. ดีไซน์ของแว่นควรจะมีลักษณะโค้งเข้ากับใบหน้าของเรา เพื่อป้องกันให้แสงลอดเข้ามาได้น้อยที่สุด และยิ่งแว่นมีขนาดใหญ่ก็ยิ่งป้องกันแสงและรังสีได้ดีกว่า

3.สีของตัวเลนส์ควรมีขนาดความเข้มเท่ากันทั้งเลนส์ จะกันรังสีได้ดีกว่า

แว่นที่กันรังสีไม่ดีจะมีผลต่อดวงตาอย่างไร

คนที่ไม่ได้ใส่แว่นกันแดด หรือใส่แว่นกันแดดที่ไม่มีคุณภาพ เวลาออกไปเจอแดดกลางแจ้ง ในระยะยาว จะมีผลทำให้มีโอกาสเป็นโรคต้อเนื้อ ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อมได้มากกว่า

ควรใส่แว่นกันแดดตอนไหน

เวลาที่แสงแดดมีรังสี UV ในระดับที่เป็นอันตราย คือในช่วงเวลา 10.00-16.00 น.

วิธีการดูแลรักษาแว่น

1. ไม่ควรทิ้งแว่นกันแดดให้ตากแดดในรถ เพราะส่วนใหญ่ตัวเลนส์จะเป็นพลาสติก ซึ่งหากโดนความร้อนมาก ๆ ก็มีโอกาสบิดเบี้ยวได้ ดังนั้นควรเก็บแว่นไว้ในซอง หรือกล่องเวลาที่ไม่ใช้

2. การสวมและถอดแว่นแบบถูกวิธี คือใช้มือจับขาแว่นที่ขาแว่นทั้งสองข้างสวมหรือดึงออก หากใช้มือเดียว จะทำให้แว่นเบี้ยวเสียรูปทรงได้เหมือนกัน

3.การทำความสะอาดแว่น ควรใช้ผ้าสำหรับเช็ดแว่นโดยเฉพาะ เพราะผ้าทั่วไปจะทำให้เกิดรอยที่เลนส์

3 Fast Food เพิ่มพลังสมองยามเช้า



3 Fast Food เพิ่มพลังสมองยามเช้า (ชีวจิต)

อาหารเช้าสำคัญต่อสมองมากกว่ามื้อไหน ๆ เพราะทีมนักโภชนาการชาวออสเตรเลีย ซึ่งศึกษาวัยรุ่น 800 คน พบว่า การได้รับประทานอาหารมื้อเช้า ที่มีสารอาหารบางประเภทช่วยในเรื่องการทำงานของสมอง โดยพบว่า ทำคะแนนในห้องเรียนได้ดีขึ้น และมีสุขภาพจิตดีขึ้นด้วย เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะนำมาบอกต่อ เพราะนอกจากจะดีต่อสุขภาพสมองแล้ว วิธีทำก็แสนง่ายแบบที่ไม่ต้องกวนคุณแม่ และไม่เสียเวลาเตรียมมากนัก มาลองทำกันเลย

สูตรที่ 1 ซีเรียลจากธัญพืชที่ไม่ขัดสี เติมนมเปรี้ยวแบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ จากนั้นเติมกล้วยหอมหั่นเป็นชิ้นลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน

สูตรที่ 2 โยเกิร์ตแบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ ใส่ข้าวโอ๊ตบดหยาบและผลไม้ต่าง ๆ ตามชอบ เช่น กีวี แอปเปิ้ล สตรอว์เบอรี่ (ไม่ควรเป็นผลไม้ที่มีรสหวาน) คลุกเคล้าให้เข้ากัน

สูตรที่ 3 แซนด์วิชทูน่า ใช้ขนมปังไม่ขัดขาว เนื้อปลาทูน่า และที่ขาดไม่ได้คือมะเขือเทศสีแดงสด

ส่วนผสมหลัก ๆ บอกไปแล้วนะคะ ส่วนใครจะมีเคล็ดลับอะไร ก็สามารถเพิ่มเติมได้ตามใจชอบ อร่อยกันแล้ว อย่าลืมเพิ่มพลังสมองอีกทางด้วยการออกกำลังกายนะคะ

สุขภาพดี...ด้วยดีท็อกซ์





การดีท็อกซ์ก็เพื่อขจัดสารพิษออกจากร่างกายนั่นเอง เนื่องจากอาหารที่เรารับประทาน ประเภทที่มีเส้นใยน้อยหรือไม่มีเส้นใย เช่น เนื้อสัตว์ ไขมัน และแป้งขัดขาว เมื่อผ่านการย่อยสลายจะกลายสภาพเป็นเหนียวหนับ เคลื่อนผ่านลำไส้ใหญ่ไปได้ลำบากและเกาะติดผนังลำไส้ แม้จะถ่ายอุจจาระทุกวันก็ไม่สามารถขจัดสิ่งดังกล่าวออกไปได้หมด ทำให้เป็นแหล่งเพาะแบคทีเรีย เกิดการบูดเน่าหมักหมม และเกิดสารพิษที่เป็นบ่อเกิดของโรคต่าง ๆ เช่น ท้องผูกเรื้อรัง ปวดถ่ายแต่ถ่ายไม่ออก ท้องเสียบ่อย ๆ ท้องอืด ท้องเฟ้อ ผายลมบ่อย หรือโรคที่เกี่ยวภูมิต้านทาน เช่น ถูมิแพ้ ลมพิษ ผื่นคัน หอบหืด รูมาตอยด์ เป็นต้น

แม้แต่ป่วยอัมพาต อัมพฤกษ์ ที่มีปัญหาขับถ่ายและผู้สูงอายุที่มักมีอาการท้องผูกเรื้อรัง ทำให้เสี่ยงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ตามมา เช่น ความดันโลหิตสูง ริดสีดวงทวาร ปวดข้อปวดกระดูก โรคเกาต์ ฯลฯ ก็สามารถบำบัดรักษาด้วยการทำดีท็อกซ์ค่ะ

เที่ยวสนุกสุขภาพดี




เที่ยวสนุกสุขภาพดี (Twenty-Four Seven)

ลงทุนลงแรงทั้งน้ำมือและน้ำเงินไปเยอะ เพื่อเซตอัพวันพักผ่อนอันสวยหรู...ว่าจะขับโฟว์วีลไปดูนก กบเขียด ตัวนิ่มเบียด อีกวันน่า

แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่นอนแกร่วอยู่ในโรงแรม แถมยังถูกหิ้วปีกยังกับสัมภาระให้เสียฟอร์ม เพราะร่างกายเจ้ากรรมดันประท้วงดินฟ้าอากาศ

ถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่อยากจะต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์เซ็ง ๆ แบบนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องใส่ลงใน To Do List และทำก่อนออกเดินทางท่องเที่ยวก็คือ การตรวจและเตรียมความพร้อมของสุขภาพ อยากรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง อ่าน 25 คำแนะนำเหล่านี้ แล้วคุณจะบินไป-บินกลับ-ขับรถเที่ยวได้มันส์ตลอดทริป

เตรียมสุขภาพก่อนเที่ยวสนุก

ควรรู้ว่า 50% ของนักท่องเที่ยวมักป่วยไข้

สาเหตุหลักของอาการป่วยไข้เกิดจากอาหารและน้ำดื่มที่ไม่สะอาด

ตรวจความพร้อมของร่างกายและสุขภาพก่อนออกเดินทาง เพื่อความมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ทริปสุดท้ายในชีวิต

ฉีดวัคซีนป้องกันโรคอินเทรนด์ที่กำลังมาแรงในภูมิภาคที่จะไปเที่ยว

แพ็คกระเป๋ายาสำหรับตัวเองและคนในครอบครัว เขียนระบุหน้ากล่องให้ชัดเจน หยิบง่ายใช้คล่อง และที่สำคัญ จัดไว้ในช่องกระเป๋าเดินทางที่ค้นหาได้สะดวก

ติดต่อกับบริษัทประกันภัยเพื่อซื้อ หรือขอสิทธิ์ในการรับรองการประกันสุขภาพในกรณีฉุกเฉิน การตัดสินใจที่รอบคอบสามารถป้องกันอุบัติเหตุได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถซื้อประกันสุขภาพ ที่คุ้มครองคุณระหว่างเดินทาง ซึ่งรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการส่งคุณไปโรงพยาบาลหรือกลับบ้าน ถ้าคุณมีอุบัติเหตุหรือปัญหาสุขภาพ

ตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อคุณจะได้กินของอร่อยได้ถนัด...กัดใคร ๆ ได้มันส์ ๆ

ตรวจสภาพสายตา และเตรียมแว่นที่ทำให้คุณเห็นชัดพกติดตัวไปด้วย ทัศนียภาพที่คลุมเครืออาจทำให้คุณย่างเท้าพลาด ลงไปนอนรวมกับน้องช้างที่ก้นน้ำตกเหวสุวัตได้

ถ้าคุณมีปัญหาโรคหัวใจ โรคความดันสูง โรคเบาหวาน โรคเกี่ยวกับม้าม คุณควรเอาประวัติทางการแพทย์ของตัวเองไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นโรคหัวใจ คุณควรเอาผลตรวจคลื่นหัวใจ (EKG) และรายชื่อยาที่ใช้ติดตัวขึ้นเครื่องบินไปด้วย ให้แพทย์ที่คุณพบหรือพยาบาล

รับมือสุขภาพขณะลัดฟ้า

ห้องโดยสารบนเครื่องบินนั้น ระดับความชื้นจะมีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับบนพื้นดิน อาจทำให้คุณรู้สึกถึงความแห้งที่จมูก คอและดวงตา และใครที่ใส่คอนแท็คเลนส์จะรู้สึกระคายเคืองเป็นพิเศษ

ควรดื่มน้ำบริสุทธิ์และน้ำผลไม้บ่อย ๆ ดื่มกาแฟ ชา และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อย เพราะการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้จะทำให้คุณปัสสาวะบ่อยขึ้น ร่างกายคุณก็จะสูญเสียน้ำมากขึ้นอีก

ถอดคอนแท็คเลนส์แล้วสวมแว่นตาแทน หากคุณรู้สึกระคายเคือง และแห้งมาก ๆ ที่ดวงตา

ทาครีมบำรุงผิวเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความสดชื่น

เพื่อป้องกันการจับตัวของเม็ดเลือด ที่เกิดจากความดันอากาศเปลี่ยนแปลง ในระหว่างเที่ยวบินให้ขยับเขยื้อนขา และเท้าของคุณเป็นระยะเวลาประมาณ 3-5 นาทีต่อชั่วโมง หรือลุกขึ้นเดินเปลี่ยนอิริยาบถบ้างเป็นครั้งคราว

รับมือสุขภาพระหว่างท่องเที่ยว

ดื่มเฉพาะน้ำดื่มที่ต้มเดือด หรือน้ำบรรจุขวดมิดชิด ถูกอนามัย

ในสถานที่บางแห่งอาจต้องนำน้ำต้มบรรจุกระติก หรือซื้อน้ำบรรจุขวดติดตัวไปด้วย

เลี่ยงน้ำแข็ง เพราะกรรมวิธีการผลิตอาจไม่สะอาด และปนเปื้อนเชื้อโรค

ถ้ามีอาการท้องเสียควรรีบดื่มน้ำผสมเกลือแร่ที่นำติดตัวไปด้วย ควรรับประทานยาฆ่าเชื้อหรือพบแพทย์ทันทีหากมีไข้

เลี่ยงการดื่มนม หรืออาหารประจำท้องถิ่นที่หมดอายุเร็ว

เลี่ยงการดื่มผลไม้ หรือผัก ที่ล้างด้วยน้ำในท้องถิ่น ทางที่ดีควรล้างทำความสะอาดเอง ด้วยน้ำที่สะอาดปลอดภัยจากขวดที่ถูกสุขอนามัย

กินผลไม้ที่มีเปลือกอย่าง กล้วย ส้ม ซึ่งผ่านมือคุณเพียงคนเดียว จะดีกว่ารักสบายให้เขาปอกให้ เพราะนั่นอาจเป็นมือนำภัย

จ่ายแพงยังไงก็ไม่เท่าค่ารักษาในโรงพยาบาล เพราะฉะนั้นเลือกรับประทานอาหารในร้านที่สะอาดได้มาตรฐาน และ Cuisine ในโรงแรมดีที่สุด

จึ๊กเดียวอาจทำให้คุณเสียว (สันหลัง) ได้ทั้งคืนกับโรคติดต่อและไข้มาเลเรีย ดังนั้นกันไว้ดีกว่าแก้ ทายาป้องกันยุงกัด และสวมเสื้อผ้าที่มิดชิดตลอดเวลา

สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งตั้งอยู่บนภูเขาสูง อาจไม่เหมาะสำหรับผู้มีโรคหัวใจและโรคปอด เนื่องจากอากาศในที่สูงมีปริมาณออกซิเจนลดลง

อาการสับสนหรือเพ้อ เป็นสัญญาณบอกถึงอันตรายว่าต้องรีบเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล