วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การอ่านการเขียนภาษาไทย

ในช่วงตั้งแต่เกิด "พฤษภาวิกฤติ" เป็นต้นมา ประชาชนโดยทั่ว ๆ ไปมักจะบ่นกันอยู่เสมอว่าบรรดาผู้ประกาศหรือผู้อ่านข่าวทั้งทางสถานีวิทยุ และสถานีโทรทัศน์ทั้งหลาย ตลอดจนบรรดาข้าราชการระดับผู้อำนวยการกองขึ้นไป รัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนเป็นจำนวนมาก มักพูดและอ่านภาษาไทยผิด ๆ อยู่เสมอ แสดงให้เห็นว่าท่านเหล่านั้นไม่ค่อยได้สนใจภาษาไทยหรือมองไม่เห็นความสำคัญของภาษาไทยเลย และนับตั้งแต่กรมประชาสัมพันธ์ ที่ถนนราชดำเนินกลางถูกเผาไปแล้ว ก็ไม่เคยได้มีการสอบผู้ประกาศกันอีกเลย เพราะข้าราชการของกรมประชาสัมพันธ์ ก็ต้องกระจัดกระจายกันไปอยู่ในที่ต่าง ๆ เครื่องมือที่จะใช้ในการสอบผู้ประกาศก็มีไม่เพียงพอ จึงทำให้คุณภาพของผู้ประกาศซึ่งมีน้อยลงแล้ว กลับยิ่งแย่ลงมากขึ้น ทั้งนี้เพราะบรรดาผู้ประกาศ ผู้อ่านข่าว หรือผู้ดำเนินรายการทั้งหลาย บางทีก็สำคัญตนผิดคิดว่าตนอ่านถูกต้องแล้ว ไม่พยายามปรับปรุงตัวเองหรือหาหนังสือ "อ่านอย่างไร เขียนอย่างไร" ไปอ่านดูบ้าง ข้าพเจ้าเคยเรียนให้เลขานุการ กบว. เปิดอบรมบรรดาผู้ประกาศและผู้อ่านข่าวทั้งหลายอย่างน้อยปีละครั้งก็ยังดี แต่จนกระทั่งบัดนี้ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ในที่สุดก็ร้อนไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ซึ่งพระองค์สนพระราชฤทัยในเรื่องภาษาไทยอยู่มาก ได้ทรงปรารภเรื่องนี้กับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย และนายกรัฐมนตรีก็ได้แจ้งให้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ทราบแล้ว แต่ก็ยังไม่มีผลก้าวหน้าออกมาเลย

ราชบัณฑิตยสถาน ซึ่งมีความรับผิดชอบในเรื่องพจนานุกรมโดยตรง ก็ได้ ตระหนักในเรื่องนี้อยู่ตลอดมา ดังจะเห็นว่าในพจนานุกรมนั้น ได้บอกคำอ่านไว้ด้วย และยังได้พิมพ์เอกสารเผยแพร่ชื่อ "อ่านอย่างไร เขียนอย่างไร" ออกเผยแพร่ ตั้งแต่สมัยข้าพเจ้าเป็นผู้อำนวยการกองศิลปกรรม และได้ตีพิมพ์มาหลายครั้งเป็นหนังสือหลายแสนเล่มแล้ว ซึ่งก็ช่วยได้มาก แต่ก็ยังได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจนัก

เวลานี้ ดร. บุญพฤกษ์ จาฏามระ นายกราชบัณฑิตยสถาน ได้ปรารภเรื่องนี้กับข้าพเจ้าและขอให้ข้าพเจ้าเขียนโครงการเพื่อเปิดอบรมผู้ประกาศและครูอาจารย์ที่สอนภาษาไทยขึ้น โดยกำหนดว่าจะเปิดอบรมปี ละ ๒ รุ่น รุ่นละ ๖๐ คน โดยใช้เวลาอบรมรุ่นละ ๗ วันเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมในการเข้ารับการอบรมใด ๆ นอกจากค่าเครื่องดื่มบ้างเท่านั้น เพราะจุดมุ่งหมายของราชบัณฑิตยสถาน ก็คือจะช่วยประเทศชาติในการพัฒนาบุคลากรในด้านการอ่านการเขียนภาษาไทย ที่ถูกต้องให้มากยิ่งขึ้น ถ้าหากจะมีรัฐมนตรี ผู้แทนราษฎร หรือผู้บริหารราชการในระดับผู้อำนวยการกองขึ้นไปที่ปรกติชอบพูดหรือให้สัมภาษณ์อยู่เสมอ สมัครเข้ารับการอบรมด้วยก็จะเป็นการดีอย่างยิ่ง เพราะบุคคลเหล่านี้แหละที่มักทำให้ภาษาไทยมีส่วนวิบัติมาก เนื่องจากท่านพูดไม่ชัด ตัว ร ล หรือตัวควบกล้ำ บางทีท่านพูดไม่ได้เลย เช่น คำว่า "กรมการปกครอง" ก็พูดเป็น "กม - กาน - ปก - คอง" คำว่า "รัฐมนตรี" ก็ออกเสียงเป็น ลัด - ถะ - มน - ตี" ซึ่งก่อให้เกิดความรำคาญหูอย่างยิ่ง นอกจากนั้นก็ชอบพูดภาษาไทยปนภาษาฝรั่งซึ่งบางทีก็เป็นภาษาฝรั่งผิด ๆ หรือบางทีก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ภาษาฝรั่งเลย เพราะเป็นคำง่าย ๆ และก็มีคำภาษาไทยบัญญัติไว้แล้ว เช่น เขาเอ็นจอยในการเมาต์มาก ทั้ง ๆ ที่ถ้าจะพูดว่า "เขาชอบพูดมาก" ก็ได้ แต่บุคคลที่ชอบพูดไทยปนฝรั่งนี่แหละเวลาให้ไปพูดกับฝรั่งหรือเจรจากับฝรั่งแล้ว ก็มักจะปฏิเสธ คงจะกลัวฝรั่งฟังไม่รู้เรื่องก็ได้

นอกจากนั้นบรรดาศัพท์บัญญัติต่าง ๆ บางคนก็สงสัยว่าทำไมต้องบัญญัติศัพท์ขึ้นมาด้วยจะใช้ทับศัพท์เป็นภาษาฝรั่งเสียเลยไม่ได้หรือ เรื่องเหล่านี้ทางราชบัณฑิตยสถานพร้อมที่จะชี้แจงให้ทุกคนได้ทราบอย่างเป็นทางการ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่างานนี้ ถ้าราชบัณฑิตยสถานเป็นเจ้าของเรื่องคงจะได้ผลมากทีเดียว และจะเท่ากับเป็นการอนุรักษ์และพัฒนาการใช้ภาษาไทยให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น เหตุที่เราต้องเริ่มต้นจากครูอาจารย์ และข้าราชการก่อนนั้น เพราะบุคคลเหล่านี้จะได้นำความรู้ไปถ่ายทอดให้แก่อนุชนรุ่นต่าง

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันภาษาไทยเเห่งชาติ

ความเป็นมา

คณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย และมีความห่วงใยในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อภาษาไทย และเพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกให้คนไทยทั้งชาติได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือกันทำนุบำรุง ส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทยให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป จึงได้เสนอขอให้รัฐบาลประกาศให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ เช่นเดียวกับวันสำคัญอื่นๆ ที่รัฐบาลได้จัดให้มีมาก่อนแล้ว เช่น “วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ” และ “วันสื่อสารแห่งชาติ” เป็นต้น และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันอังคารที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๒ เห็นชอบให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปีเป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ



เหตุผล

ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ อันเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาติ สมควรจะได้รับการทำนุบำรุงส่งเสริม และอนุรักษ์ไว้ให้ยั่งยืนตลอดไป



ทั้งนี้ในยุคปัจจุบันวิชาการและเทคโนโลยีต่างๆ ได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วเกิดเทคนิคใหม่ๆ ในการติดต่อสื่อสาร มี่มุ่งเน้นความสะดวกรวดเร็ว ส่งผลให้ภาษาไทยซึ่งเป็นสื่อกลางสำคัญในการติดต่อและผูกพันต่อการดำรงชีวิตประจำวันของคนไทยได้รับผลกระทบ ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ทำให้ภาษาไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างน่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง สภาพการณ์เช่นนี้หากไม่เร่งรีบหาทางแก้ไขและป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ การใช้ภาษาไทยของเราก็จะยิ่งเสื่อมลง จะส่งผลเสียหายต่อเอกลักษณ์และคุณค่าของภาษาไทยเป็นทวีคูณ



ทำไมจึงได้กำหนดให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม เป็น “วันภาษาไทยแห่งชาติ”

เพราะวันดังกล่าว ตรงกับวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปเป็นประธานและทรงร่วมอภิปรายในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้องประชุมคณะอักษรศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๐๕ ทรงเปิดการอภิปรายในหัวข้อ “ปัญหาการใช้คำไทย” ทรงดำเนินการอภิปรายและทรงสรุปการอภิปรายอย่างดีเยี่ยม แสดงถึงพระปรีชาสามารถและความสนพระราชหฤทัยและความห่วงใยในภาษาไทย เป็นที่ประทับใจผู้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของวงการภาษาไทย ที่ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว และในโอกาสต่อๆ มาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงแสดงความสนพระราชหฤทัยและความห่วงใยในภาษาไทยอีกหลายโอกาส เช่น ได้พระราชทานพระราชดำรัสเกี่ยวกับปัญหาในการใช้ภาษาไทยของประชาชนชาวไทยในปัจจุบัน ในวโรกาสที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการและองค์กรเอกชนเข้าเฝ้าถวายชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช ๒๕๓๕ นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงย้ำให้ประชาชนชาวไทยตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทยและพระราชทานแนวความคิดในการอนุรักษ์ภาษาไทยในโอกาสต่างๆ อยู่เสมอ ที่สำคัญยิ่งกว่านี้ คือ เป็นที่ประจักษ์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระปรีชาญาณและพระอัจฉริยภาพในการใช้ภาษาไทยทรงรอบรู้ปราดเปรื่องถึงรากศัพท์ของคำไทย คือ ภาษาบาลีและสันสกฤต ทรงพระอุตสาหะวิริยะแปลและเรียบเรียงวรรณกรรมภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะวรรณศิลป์ มีเนื้อหาสาระที่มีคุณค่าเป็นคติในการเสียสละเพื่อส่วนรวม และเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนในการใช้ภาษาไทย ดังจะเห็นได้จากพระราชนิพนธ์แปลเรื่องนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ติโต พระราชนิพนธ์แปลบทความเรื่องสั้นๆ หลายบท และพระราชนิพนธ์ เรื่อง พระมหาชนก นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมที่สุดมิได้แก่วงการ

ประโยชน์ที่ได้รับจากการมี “ วันภาษาไทยแห่งชาติ ”



คาดว่าจะมีผลดีสืบเนื่องหลายประการ คือ

๑. การมี “วันภาษาไทยแห่งชาติ” จะทำให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการ และทบวงมหาวิทยาลัย ตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย และร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นเตือน เผยแพร่ และเน้นย้ำให้ประชาชนเห็นความสำคัญของ “ภาษาประจำชาติ” ของคนไทยทุกคน และร่วมมือกันอนุรักษ์การใช้ภาษาไทยให้มีความถูกต้องงดงามอยู่เสมอ

๒. บุคคลในวงวิชาชีพต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาไทย โดยเฉพาะในวงการศึกษา และวงการสื่อสาร ช่วยกันกวดขันดูแลให้การใช้ภาษาไทยเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม มิให้ผันแปรเปลี่ยนแปลง จนเกิดความเสียหายแก่คุณลักษณะของภาษาไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ

๓. ผลสืบเนื่องในระยะยาว คาดว่าปวงชนชาวไทยทั่วประเทศจะตื่นตัวและสนใจที่จะร่วมกันฟื้นฟู ทำนุบำรุง ส่งเสริมและอนุรักษ์ภาษาไทย อันเป็นเอกลักษณ์และสมบัติวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติให้ดำรงคงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

“ไมเคิล แจ็คสัน” ราชาเพลงป๊อบก้องโลก





หลังจาก “ไมเคิล แจ็คสัน” แถลงข่าวเตรียมคัมแบล็กจับไมค์ทัวร์คอนเสิร์ตอีกครั้ง
เจ้าของฉายา “ราชาเพลงป็อป” ก็คงจะหมดโอกาสแล้ว เพราะเมื่อเวลา ตี 2 (ตามเวลาในประเทศไทย) “ไมเคิล แจ็คสัน” ได้เสียชีวิตลงด้วยการสันนิฐานจาก “หัวใจวาย” หลังจากถูกหามส่งโรงพยาบาล UCLA ด้วยวัย 50 ปี ณ ลอสแองเจลิส

จากการเปิดเผยของ TMZ และ หนังสือพิมพ์ latimes.com รายงานว่า ทีมแพทย์ที่ได้รับมอบหมายให้ดูอาการของเขา พยายามจนสุดความสามารถก็ไม่อาจรั้งชีวิตของเขาจากเงื้อมมือมัจจุราชได้ จนเมื่อญาติๆ ของเขารู้อาทิ ทลาโทยา พี่สาวของไมเคิล ถึงกับกระหืดกระหอบมาขอดูศพน้องชาย เป็นครั้งสุดท้าย ตามติดมาด้วยแม่ของเขา

“ไมเคิล” มีทายาททิ้งไว้ดูต่างหน้า 3 คน คือ ไมเคิล โจเซฟ แจ็คสัน, ปาริส ไมเคิล แคเธอรีน แจ็คสัน (ซึ่งเกิดจากการอุ้มบุญทั้งคู่กับ “เด็บบี่ โรวร์” และ พรินซ์ ไมเคิล แจ็คสัน ที่สอง (คนหลังนี่ยิ่งน่าสงสัยกว่า เพราะไม่มีใครเคยรู้เลยว่า แม่ของเด็กคือใคร? และฮือฮามากที่สุดที่มีข่าวว่าเป็นพ่อผิดวิปริต ที่หิวลูกวัยแบเบาะมามาโชว์นอกหน้าต่าง)
ชีวิตราชาป๊อบก้องโลก “ไมเคิล แจ็คสัน”


สมัยมาเปิด คอนเสิร์ต Dangerous World Tour ที่สนามศุภชลาศัย ในประเทศไทยนั้น เหตุผลที่ต้องเลื่อนการแสดงไป 3 วัน เพราะเขาถูกหมายจับจาก Santa Babara แจ้งข้อหาขณะพักอยู่โรงแรมโอเรียลเต็ลว่า ล่วงละเมิดทางเพศเด็กชาย ซึ่งส่วนหนึ่งในอดีตยังไม่มีอินเตอร์เน็ตแบบปัจจุบันเลยกว่าจะทำให้รู้ว่า “ไมเคิล” โดนคดีอะไรก็หอบผ้าเก็บกระเป๋ากลับกรุงเก่าไปเรียบร้อย
ชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆ ของเขายังไม่จบเพียบเท่านั้น เพราะหลังจากโดนคดีรอบแรกไป เจอรอบ 2 อีกจากตำรวจ ที่เคยทำคดีชุดเดิมออกมาแฉ แต่หนนี้ก็หลุดคดีได้เพราะ “เงิน” ตัวเดียวที่ส่งไปให้พ่อของเด็กที่ฟ้องร้องไปถอนคดีแจ้งความ

จากนั้นไม่นานชีวิตบั้นปลายของ “ไมเคิล” ก็เริ่มดิ่งเหวเมื่ออัลบั้มสุดท้ายกับค่ายโซนีไม่พอใจการโปรโมทอัลบั้ม Invincible (ซึ่งอัลบั้มนี้ถือเป็นการทำงานสุดท้ายกับที่นี่ และต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่าช่วงนั้นวิวัฒนาการคนฟังเพลงเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว) จนเขาต้องขายคฤหาสน์หลังโตเนเวอร์แลนด์

ล่าสุดแฟนๆ ก็ต่างเฮดีใจที่ “ไมเคิล” จะกลับมาเปิดทัวร์คอนเสิร็ต เพื่อเรียกกระแสนิยมของตนให้กลับมาอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นเพียงฝันสลายซะแล้ว เพราะเขาได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ ทิ้งไว้แต่ผลงานดีๆ และความทรงจำอันทรงคุณค่าของเด็กยุค 90 ที่เคยเห็นเขามา “เขย่าเป้า” ในเมืองไทยให้เป็นที่จดจำไว้นานแสนนาน ♦

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ




การเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ โดย รองศาสตราจารย์ธงทอง จันทรางศุ



ตามปกติวิสัยของผู้มีความรู้จักคุ้นเคยกันย่อมไปมาหาสู่เยี่ยมเยียน ถามข่าวด้วยมิตรไมตรีกันอยู่เสมอ ธรรมเนียมนี้ไม่ได้ถือปฏิบัติเฉพาะเรื่องส่วนบุคคล เช่น ในหมู่ญาติสนิทมิตรสหายเท่านั้น แม้ในระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศการที่ประมุขหรือผู้นำของประเทศหนึ่งไปเยี่ยมเยียนมิตรประเทศอีกประเทศหนึ่งอย่างเป็นทางการในฐานะตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ ก็มีส่วนสำคัญในการสร้างเสริมและกระชับสัมพันธไมตรี รวมทั้งความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นด้วย สำหรับพระประมุขของไทยพระองค์แรกที่ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนสิงคโปร์และปัตตาเวียเมื่อพุทธศักราช ๒๔๑๗ หลังจากนั้นยังได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ ทั้งที่เป็นประเทศเพื่อนบ้าน และหมู่ประเทศในทวีปยุโรปอีกหลายครั้ง

สำหรับในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในระยะแรกที่ทรงครองแผ่นดิน ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรตามภูมิภาคต่างๆ ให้ทั่วถึงเสียก่อน จากนั้นจึงจะเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศในฐานะที่ทรงเป็นพระประมุขของชาติไทย ด้วยเหตุนี้หลังจากเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้วหลายปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถจึงได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๒ โดยได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงระหว่างวันที่ ๑๘ ถึง ๒๑ ธันวาคม

หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนมิตรประเทศของประเทศไทยอีกหลายครั้งตามลำดับดังนี้
๑. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย วันที่ ๘ ถึง ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๐๓
๒. สหภาพพม่า วันที่ ๒ ถึง ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๐๓
๓. สหรัฐอเมริกา วันที่ ๑๔ มิถุนายน ถึง ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๐๓
๔. สหราชอาณาจักร วันที่ ๑๙ ถึง ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๐๓
๕. สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ถึง ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๐๓
๖. สาธารณรัฐโปรตุเกส วันที่ ๒๒ ถึง ๒๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๐๓
๗. สมาพันธรัฐสวิส วันที่ ๒๙ ถึง ๓๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๐๓
๘. เดนมาร์ก วันที่ ๖ ถึง ๙ กันยายน พุทธศกราช ๒๕๐๓
๙. นอร์เวย์ วันที่ ๑๙ ถึง ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๐๓
๑๐. สวีเดน วันที่ ๒๓ ถึง ๒๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๐๓
๑๑. สาธารณรัฐอิตาลี วันที่ ๒๘ กันยายน ถึง ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๓
๑๒. นครรัฐวาติกัน วันที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๓
๑๓. เบลเยียม วันที่ ๔ ถึง ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๓
๑๔. สาธารณรัฐฝรั่งเศส วันที่ ๑๑ ถึง ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๓
๑๕. ลักเซมเบิร์ก วันที่ ๑๗ ถึง ๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๓
๑๖. เนเธอร์แลนด์ วันที่ ๒๔ ถึง ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๓
๑๗. สเปน วันที่ ๓ ถึง ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๐๓
๑๘. สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน วันที่ ๑๑ ถึง ๒๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๐๕
๑๙. สมาพันธรัฐมลายา วันที่ ๒๐ ถึง ๒๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๐๕
๒๐. นิวซีแลนด์ วันที่ ๑๘ ถึง ๒๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๐๕
๒๑. ออสเตรเลีย วันที่ ๒๖ สิงหาคม ถึง ๑๒ กันยายน พุทธศักราช
๒๒. ญี่ปุ่น วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ถึง ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๐๖
๒๓. สาธารณรัฐประชาชนจีน วันที่ ๕ ถึง ๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๐๖
๒๔. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ วันที่ ๙ ถึง ๑๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๐๖
๒๕. สาธารณรัฐออสเตรีย วันที่ ๒๙ กันยายน ถึง ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๗
๒๖. สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี วันที่ ๒๒ ถึง ๒๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๐๙
๒๗. สาธารณรัฐออสเตรีย วันที่ ๒๙ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๙
๒๘. อิหร่าน วันที่ ๒๓ ถึง ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๑๐
๒๙. สหรัฐอเมริกา วันที่ ๖ ถึง ๒๐ มิถุนายน และวันที่ ๒๔ ถึง ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๑๐
๓๐. แคนาดา วันที่ ๒๑ ถึง ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๑๐

หลังจากนั้น ได้ทรงว่างเว้นจากการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศหลายสิบปีจนเมื่อครั้งสุดท้ายได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่าง วันที่ ๘ ถึง ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๗ นับว่าเป็นพระราชกรณียกิจเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศครั้งล่าสุด

การเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศแต่ละครั้ง ต้องถือว่าทรงเป็นผู้แทนของคนไทยทั้งประเทศ นำน้ำใจไมตรีและความปรารถนาดีจากประเทศไทยไปมอบให้แก่มิตรประเทศ การเสด็จพระราชดำเนินมีทั้งแบบที่เป็นทางการเต็มยศ ที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า State Visit และแบบที่เป็นทางการลดหลั่นลงมา ที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า Official Visit ถ้าเป็นการเสด็จฯ อย่างเป็นทางการเต็มยศ จะมีแบบแผนพิธีการตามระเบียบปฏิบัติของนานาชาติหลายประการ เช่น มีการแลกเปลี่ยนของขวัญและอิสริยาภรณ์ ประมุขของประเทศเจ้าภาพจัดถวายเลี้ยงพระกระยาหารเป็นการเลี้ยงรับเสด็จคืนหนึ่ง และทรงเลี้ยงตอบแทนอีกคืนหนึ่ง เป็นต้น แต่ถ้าเป็นการเสด็จฯ อย่างที่เรียกว่า Official Visit แบบแผนพิธีการจะไม่เคร่งครัด แล้วแต่ประเทศเจ้าภาพและแขกเมืองจะตกลงรายการกันตามที่เห็นสมควร

จากการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ย่อมทำให้เราได้เห็นว่าการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไม่ใช่เพื่อความสุขสำราญส่วนพระองค์ แต่เป็นพระราชกรณียกิจที่ทรงบำเพ็ญในฐานะพระประมุขของชาติ หมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินแต่ละวัน มีสถานที่ที่ต้องเสด็จฯ ไปหลายแห่ง ต้องทรงพบปะกับผู้คนนับร้อยนับพัน ไม่ว่าจะทรงพระสำราญหรือทรงพระประชวร ทั้งสองพระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยพระขันติธรรม เป็นที่ประทับใจแก่ผู้ที่เฝ้าชมพระบารมี กล่าวด้วยภาษาสามัญ ก็ต้องเฉลิมพระเกียรติว่า ทรงทำหน้าที่ผู้แทนคนไทยในสังคมนานาชาติได้อย่างสมบู

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ภาษาฝรั่งเศสน่ารู้

Cedex (เซแด๊กซ์)คุณจะได้พบเห็นคำ Cedex นี้ปรากฎตามที่อยู่ของเมืองต่างๆ หรือจ่าหน้าซองตามระบบไปรณีย์ของฝรั่งเศส เช่นMNEF, 22, bd Saint-Michel, 75270 Paris Cedex 06, Franceหรือ Parc Valrose, 06034 Nice Cedex, France คำ Cedex ดังกล่าวมิใช่รหัสไปรษณีย์ แต่ทว่าเป็นคำย่อของ Courrier d' Entreprise à Distribution Exceptionnelle ซึ่งหมายถึงไปรษณีย์ภัณฑ์ของหน่วยงาน หรือบริษัทที่มีการนำจ่ายเป็นกรณีพิเศษ
Chauffeur (โชเฟอร์) ความต้องการของมหาเศรษฐีชาวฝรั่งเศสที่ได้ขับขี่รถยนต์คันแรกซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังไอนํ้าในตอนนั้นก็คือใครสักคนที่คอยเติมเชื้อเพลิงใต้หม้อไอนํ้าและคอยควบคุมไฟในเตาให้ติดดีนี่เองที่เป็นที่มาของคำว่า chauffeurซึ่งหมายถึงผู้ที่คอยทำให้เกิดความร้อน สมัยต่อมาเมื่อมีการประดิษฐ์เครื่องยนต์ที่มีการสันดาปเชื้อเพลิงเหลวภายในเครื่องและสามารถทำงานได้ดีกว่าหม้อไอนํ้า หน้าที่ใหม่ของ chauffeur จึงกลายเป็นการควบคุมหรือขับขี่รถยนต์ ที่เรียกว่า "สารถี" รวมทั้งต้องคอยเติมเชื้อเพลิงให้เพียงพอด้วย ...** chauffer ** เป็นคำกริยา แปลว่า "ทำให้อบอุ่น หรือ ทำให้ร้อน" ...** se chauffer ** แปลว่า "อุ่นร่างกาย" ...** chauffage ** แปลว่า "การทำให้อบอุ่น หรือ เรื่องทำความอบอุ่นในบ้านหรืออาคาร" ...ส่วน ** chauffard** หมายถึง "คนขับรถแบบคนบ้าหรือไร้มารยาท"
• Au pair (โอแปร์)(jeune fille au pair) หมายถึงนักศึกษาู้หญิงที่ไปพักอาศัยกับครอบครัวหนึ่งครอบครัวใดในต่างประเทศเพื่อศึกษา หรือ เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมในประเทศนั้นโดยมีที่พักและอาหารแลกเปลี่ยนกับการช่วยทำงานให้โดยไม่มีค่าจ้างแต่อาจได้รับเงินติดกระเป๋าเล็กๆน้อยๆได้ "Cette jeune fille travaille au pair."
Tennisเป็นคำภาษาอังกฤษที่มีที่มาจากภาษาฝรั่งเศส"tenez" (ออกเสียง "เตเนซ" ตามสำเนียงอังกฤษ แปลว่า จับ ยึด หรือ รับให้อยู่) สะกดตามการออกเสียงภาษาอังกฤษ เป็น "tennis"แล้วฝรั่งเศสก็รับกลับมาใช้ตามการสะกด และความหมายแบบอังกฤษ คือ 1. กีฬาเทนนิส "Elle aime jouer au tennis." [หล่อนชอบเล่นเทนนิส]2. รองเท้ากีฬา (ผ้าใบ พื้นยาง)"On met des tennis pour faire du sport."[เราสวมรองเท้าผ้าใบเพื่อเล่นกีฬา]
Copain (n.m. , adj.) (โก-แปง) - Copine (n.f.) (โก-ปิน) = เพื่อนมาจากภาษาลาติน "cumpainz" (qui mange son pain avec =คนที่เราแบ่งขนมปังด้วย แผลงเป็น "compain" และ "copain" (com = co = "avec") + painpetit copain = petit ami (= แฟน) "Elle vient avec son petit copain" (เธอมากับแฟนของเธอ)

อาหารฝรั่งเศส


ฟัวกรา (ฝรั่งเศส: Foie gras [fwɑ gʁɑ]) แปลเทียบเคียงว่า fat liver คือตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนเกิน ฟัวกราได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติที่แตกต่างจากตับของเป็ดหรือห่านธรรมดา

ใน พ.ศ. 2548 ทั่วโลกมีการผลิตฟัวกราประมาณ 23,500 ตัน ในจำนวนนี้ ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตมากที่สุดคือ 18,450 ตัน หรือร้อยละ 75 ของทั้งหมด โดยร้อยละ 96 ของฟัวกราจากฝรั่งเศสมาจากตับเป็ด และร้อยละ 4 มาจากตับห่าน ประเทศฝรั่งเศสบริโภคฟัวกราใน พ.ศ. 2548 เป็นจำนวน 19,000 ตัน[1]

ประเทศฮังการีผลิตฟัวกรามากเป็นอันดับสอง และส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่ง คือ 1,920 ตันใน พ.ศ. 2548 โดยเกือบทั้งหมดส่งออกไปที่ฝรั่งเศส


การป้อนอาหาร ในการผลิตฟัวกรา (เรียกขั้นตอนนี้ว่า gavage)
ฟัวกรา เทียบกับตับห่านปกติองค์การสิทธิสัตว์ทุกแห่ง และองค์การความเป็นอยู่สัตว์เกือบทุกแห่ง ถือว่าขั้นตอนการผลิตฟัวกรานั้นโหดร้าย เนื่องจากการบังคับป้อนอาหาร และผลกระทบต่อสุขภาพจากตับที่ใหญ่ขึ้น

การผลิตฟัวกรานั้นผิดกฎหมายในหลายพื้นที่ (แต่การจำหน่ายฟัวกราที่ผลิตจากที่อื่นนั้นไม่จำเป็นว่าต้องผิดกฎหมาย) ได้แก่

นอร์เวย์
เนเธอร์แลนด์
เดนมาร์ก
โปแลนด์ (เคยเป็นผู้ผลิตอันดับ 5 ของโลก เมื่อ พ.ศ. 2542)
ฟินแลนด์
เยอรมนี
ลักเซมเบิร์ก
สวิตเซอร์แลนด์
สวีเดน
สหรัฐอเมริกา: เมืองชิคาโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย (เริ่ม พ.ศ. 2555)
สหราชอาณาจักร
สาธารณรัฐเช็ก
ออสเตรีย (6 ใน 9 รัฐ)
อาร์เจนตินา
อิตาลี
อิสราเอล
ไอร์แลนด์

ครัวซอง (ฝรั่งเศส: croissant) คือขนมอบชนิดหนึ่งที่กรอบ ชุ่มเนย และโดยทั่วไปจะมีลักษณะโค้งอันเป็นที่มาของชื่อ "croissant" ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสหมายถึง "จันทร์เสี้ยว" บางทีก็ถูกเรียกว่า crescent roll (โรลจันทร์เสี้ยว)

การทำครัวซองค์จะต้องใช้แป้งพายชั้น (puff pastry - พัฟ เพสทรี่) ที่ผสมยีสต์ นำมารีดให้เป็นแผ่น วางชั้นของเนยลงไป พับและรีดให้เป็นแผ่นซ้ำไปมา ตัดเป็นแผ่นสามเหลี่ยม นำไปม้วนจากด้านกว้างไปด้านแหลม บิดปลายให้โค้งเข้าหากัน อบโดยใช้ไฟแรงให้เนยที่แทรกอยู่เป็นชั้นดันแป้งให้ฟูก่อน จึงค่อยลดไฟลงไม่ให้ไหม้

คีช (ฝรั่งเศส: quiche; สัท.: [kiːʃ]) เป็นอาหารจานอบชนิดหนึ่งโดยมีส่วนประกอบหลักคือ ไข่ นม หรือ ครีม ถึงแม้ว่าคีชจะมีลักษณะคล้ายพายแต่คีชถูกจัดเป็นอาหารคาว โดยในคีชอาจมีส่วนประกอบอื่นเช่น เนื้อสัตว์ ผัก เนยแข็ง ได้

ถึงแม้ว่าคีชจะมีส่วนประกอบหลายอย่างคล้ายอาหารประเภทพาสตา แต่ไม่ถูกจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของพาสตา
บาเกต (ฝรั่งเศส: baguette) หรือ ขนมปังฝรั่งเศส เป็นขนมปังมีลักษณะรูปทรงเป็นแท่งยาวขนาดใหญ่ เปลือกนอกแข็งกรอบ เนื้อในนุ่มเหนียว และเป็นโพรงอากาศ มักนำมาหั่นเฉียงเป็นแผ่นหนา เพื่อรับประทานกับซุป ปาดเนยสด หรือประกอบทำเป็นแซนด์วิช

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หมีแพนด้า


แพนด้ายักษ์ หรือไจแอนท์แพนด้า คนไทยนิยมเรียกหมีแพนด้า เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมซึ่งปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์หมี (Ursidae) ถิ่นอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน [1] อาหารโปรดของแพนด้ายักษ์คือไผ่ นอกนั้นจะเป็นหญ้าชนิดอื่น ๆ ลักษณะเฉพาะของแพนด้ายักษ์คือมีขนสีดำรอบดวงตา, ใบหู, บ่า และขาทั้งสี่ข้าง ส่วนอื่นประกอบด้วยขนสีขาว

ปัจจุบันแพนด้ายักษ์เป็นหนึ่งในสัตว์สายพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์มากที่สุดสายพันธุ์หนึ่งของโลก ตามรายงานล่าสุด มีแพนด้าที่เลี้ยงในกรงเลี้ยง 239 ตัวอยู่ในจีน และอีก 27 ตัวอยู่ในต่างประเทศ มีการคาดการณ์ไว้ว่ามีแพนด้ายักษ์ประมาณ 1,590 ตัวอาศัยอยู่ตามธรรมชาติอย่างไรก็ดี จากการศึกษาในปี พ.ศ. 2549 ผ่านการวิเคราะห์ดีเอ็นเอ สามารถประมาณการได้ว่าอาจจะมีแพนด้ายักษ์เป็นจำนวนถึง 2,000-3,000 ตัวอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจำนวนแพนด้าตามธรรมชาติเพิ่มจำนวนขึ้น สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติเชื่อว่าข้อมูลดังกล่าวยังไม่มีความแน่นอนพอที่จะย้ายชื่อแพนด้ายักษ์ออกจากบัญชีรายชื่อสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์

แพนด้ายักษ์มีถิ่นอาศัยอยู่ตามพื้นที่ภูเขา เช่น มณฑลเสฉวน ซานซี กานซูและทิเบต แพนด้ายักษ์เป็นสัญลักษณ์ของกองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Fund:WWF) องค์กรด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า ตั้งแต่ช่วงหลังของศตวรรษที่ 20 แพนด้าได้กลายเป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศจีน และรูปภาพของมันได้อยู่บนเหรียญทองของจีน

ถึงแม้พวกมันจะจัดอยู่ในวงศ์ของหมี แต่พฤติกรรมการกินของมันแตกต่างจากหมีโดยสิ้นเชิง แพนด้าเป็นสัตว์กินพืชเป็นอาหาร โดย 99% ของอาหารที่มันกินคือไผ่ แต่บางทีอาจพบว่ามันก็กินไข่ ปลา และแมลงบางชนิดในไม้ไผ่ที่มันกิน นี่เป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ

หลายสิบปีที่ผ่านมา การจัดจำแนกสายพันธุ์ที่แน่นอนของแพนด้ายังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แพนด้ายักษ์และแพนด้าแดงซึ่งเป็นญาติสายพันธุ์ห่าง ๆ กัน และยังมีลักษณะพิเศษที่เหมือนทั้งหมีและแรคคูน อย่างไรก็ตาม การทดลองทางพันธุกรรมบ่งบอกว่าแพนด้ายักษ์เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของหมี (วงศ์ Ursidae) หมีที่สายพันธุ์ใกล้เคียงที่สุดของแพนด้าคือหมีแว่นของอเมริกาใต้ (ข้อขัดแย้งที่ยังคงเป็นที่สงสัยอยู่คือแพนด้าแดงนั้นอยู่ในวงศ์ใด เป็นที่ถกเถียงว่าอาจจะอยู่ในวงศ์หมี (Ursidae), วงศ์แรคคูน, วงศ์โพรไซโอนิเด (Procyonidae), หรืออยู่ในวงศ์เฉพาะของมันเอง ไอเลอริเด (Ailuridae))

แพนด้าเป็นสัตว์สปีชีส์ที่ถูกคุกคามหรืออยู่ในอันตรายต่อการสูญพันธ์ ทั้งนี้มาจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่จากการบุกรุกของมนุษย์ อัตราการเกิดต่ำทั้งในป่าและในกรงเลี้ยง เชื่อว่ามีแพนด้ายักษ์เพียง 1,600 ตัว อาศัยอยู่รอดในป่า

หมีแพนด้ามีอุ้งตีนที่ผิดจากธรรมดา คือมีนิ้วหัวแม่มือ และมีนิ้วอีก 5 นิ้ว นิ้วหัวแม่มือที่จริงแล้วมาจากการปรับปรุงรูปแบบของกระดูกข้อต่อ สตีเฟน เจย์ กาวลด์ ได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ โดยมีชื่อเรื่องว่า The Panda's Thumb หรือ นิ้วหัวแม่มือของแพนด้า หางของแพนด้ายักษ์นั้นสั้นมาก โดยมีความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร
แพนด้ายักษ์ เป็นที่รู้จักในตะวันตกเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2412 โดยมิชชันนารีชาวฝรั่งเศส อาร์มันด์ เดวิด ผู้ซึ่งได้รับหนังของแพนด้ามาจากนายพรานเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2412 ส่วนชาวตะวันตกคนแรกที่เป็นที่รู้จักว่าเห็นแพนด้ายักษ์ที่ยังมีชีวิตคือนักสัตว์วิทยาเยอรมัน ฮิวโก เวยโกลด์ เขาซื้อลูกของมันมาในปี พ.ศ. 2459 เคอร์มิท และ ธีโอดอร์ รูสเวลท์ จูเนียร์ ได้เป็นชาวต่างชาติแรก ที่ยิงแพนด้าในการเดินทางศึกษาที่ประเทศจีน เพื่อนำไปสตัฟฟ์และใช้ในการศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ฟิลด์ ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ในปี พ.ศ. 2479 รุธ ฮาร์คเนส เป็นชาวตะวันตกคนแรก ที่นำเข้าแพนด้ายักษ์ที่มีชีวิตมายังสหรัฐฯ เป็นลูกแพนด้าชื่อซู-ลิน โดยนำมาเลี้ยงที่สวนสัตว์บรูคฟิลด์ในชิคาโก

แพนด้ายักษ์ถือเป็นสัญลักษณ์ทางการทูตอย่างหนึ่งของจีน จะเห็นได้ว่าจีนส่งหมีแพนด้าไปยังสวนสัตว์สหรัฐอเมริกา และ ญี่ปุ่น ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 โดยการให้ยืม ซึ่งเป็นเครื่องหมายการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างจีนและชาติตะวันตก การปฏิบัติเป็นธรรมเนียมเช่นนี้ทำให้มีคนเรียกแพนด้าว่า "ทูตสันถวไมตรี"

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 ไม่มีการใช้หมีแพนด้าในฐานะทูตสันถวไมตรีอีกต่อไป แต่จีนมีการเสนอที่จะส่งแพนด้ายักษ์ไปยังชาติอื่นโดยให้ยืมเป็นเวลา 10 ปี โดยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมพื้นฐานปีละ 1,000,000 เหรียญสหรัฐ และมีข้อกำหนดว่าลูกของแพนด้ายักษ์ใด ๆ ที่เกิดระหว่างการยืมนั้น ถือเป็นทรัพย์สินของสาธารณรัฐประชาชนจีน

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มะเร็งคืออะไร


ร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยเซลล์จำนวนมาก โดยมีการแบ่งตัวตามความต้องการของร่างกาย เช่นเซลล์เม็ดเลือดแดงจะมีการผลิตเพิ่มเมื่อร่างกายเราเสียเลือด ผลิตเม็ดเลือดขาวเพิ่มเมื่อร่างกายเราติดเชื้อ แต่เซลล์ที่สร้างโดยที่ร่างกายเราไม่สามารถควบคุมได้เราเรียกว่าเนื้องอก Tumor ซึ่งแบ่งเป็น Benign และ Malignant

Benign tumor

คือเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็ง เนื้องอกจะไม่แพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกาย ตัดออกแล้วจะไม่เป็นซ้ำ เช่น fibroadenoma,cyst,fibrocystic disease

Malignant tumor

เซลล์จะแบ่งตัวไม่หยุด ร่างกายเราไม่สามารถควบคุมการแบ่งตัว เซลล์จะแพร่กระจายไปยังอวัยวะใกล้เคียงและแพร่ไปยังอวัยวะอื่นๆ โดยอาจจะไปตามกระแสเลือด หรือทางน้ำเหลือง เราเรียกการแพร่กระจายว่า Metastasis

วิธีรักษาไข้หวัดแบบประหยัด

ระยะย่างเข้าหน้าฝนนี้ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างถูกไข้หวัดเล่นงานกันงอมแงม โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่มีลูกหลานเล็กๆ ที่เพิ่งเข้าเรียนหนังสือในปีแรก อาจรู้สึกเดือดร้อนที่เด็กน้อยเป็นไข้หวัดแทบไม่เว้นแต่ละเดือน ต้องขาดเรียนอยู่เรื่อยๆ และเสียเงินค่ายาค่าหมอทีละไม่น้อย

เคยมีผู้อ่านซึ่งเป็นคนในโรงงานเขียนจดหมายมาเล่าให้ฟังว่า มีลูกเป็นไข้หวัดบ่อย แต่ก่อนต้องพาไปหาหมอ เสียค่ารักษาแต่ละครั้งประมาณ 70-80 บาท ต่อมาเมื่อได้เรียนรู้วิธีรักษาโรคไข้หวัดจาก หมอชาวบ้าน จึงได้นำความรู้ไปรักษาลูกของตัวเองเวลาเป็นหวัด เสียค่ายา (ซื้อตามคำแนะนำในนิตยสาร) ครั้งละ 15-20 บาทเป็นอย่างมาก ซึ่งไปทุ่นเงินไปได้หลายสตางค์

ครั้งนี้จึงขอถือโอกาสแนะนำวิธีการรักษาไข้หวัดด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง ดีไหมครับ

ข้อน่ารู้เกี่ยวกับไข้หวัด

1) ไข้หวัดเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนต้น (ได้แก่ จมูกและคอ) ติดต่อกันได้ง่ายด้วยการอยู่ใกล้ชิดกัน รับเชื้อจากละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอ จามหรือหายใจรด

2) เชื้อโรคที่ทำให้เป็นไข้หวัด (เรียกว่า เชื้อหวัด) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งแบ่งเป็นพันธุ์ย่อยๆ ออกไปร่วม 200 ชนิด ในการเป็นไข้หวัดแต่ละครั้งจะเกิดจากเชื้อหวัดเพียงหนึ่งชนิด เมื่อเป็นแล้วจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อหวัด เฉพาะชนิดนั้นเพียงชนิดเดียว เมื่อติดเชื้อหวัดอีกชนิดหนึ่ง วนเวียนไปเรื่อยๆ ดังนั้นคนเราจึงเป็นไข้หวัดได้บ่อย (หรือจนกว่าจะเวียนไปครบทุกชนิด)

3) เด็กเล็กจะมีภูมอต้านทานต่อเชื้อหวัดน้อยกว่าผู้ใหญ่ (เพราะผู้ใหญ่เคยรับเชื้อมาอย่างโชกโชนตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก) ดังนั้น จึงมีโอกาสเป็นไข้หวัดได้บ่อย และมักจะมีอาการรุนแรงกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่เพิ่งเข้าโรงเรียนใน 1-2 ปีแรก จะรับเชื้อหวัดจากเพื่อนๆ ในชั้นเรียน ซึ่งพกเอาเชื้อหวัดรดกันคนละพันธุ์สองพันธุ์มาแจกจ่ายกันจนถ้วนหน้า เมื่ออายุมากขึ้นคนเราจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อหวัดมากขึ้น จึงเป็นไข้หวัดห่างขึ้น และอาการจะรุนแรงน้อยลง

4) ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันไข้หวัดอย่างได้ผลเต็มที่ เพราะคนที่มีเชื้อหวัดในจมูกและคอ จะเริ่มแพร่โรคให้คนข้างเคียง ตั้งแต่ก่อนจะมีอาการตัวร้อนหรือเป็นหวัด ดังนั้นจึงบอกไม่ได้ว่าใครบ้างที่จะเป็นคนแพร่เชื้อ (ยกเว้นเมื่อเขามีอาการแสดงชัดเจนแล้วเท่านั้น) ซึ่งควรจะหลีกหนีจากเขา อย่าให้ถูกเขา ไอ จาม หรือหายใจรดใส่

โดยทั่วไป เรามักจะแนะนำว่าในช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดไม่ควรเข้าไปในสถานที่ๆ มีผู้คนแออัด เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ส่วนคนที่เป็นหวัด เวลาไอหรือจาม ควรปิดปากอย่าให้เชื้อแพร่ออกไป และควรอยู่ให้ไกลจากผู้อื่น อย่านอนรวมกับผู้อื่น

ส่วนเด็กเล็ก มักมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เพราะธรรมชาติของเด็กคือการจับกลุ่มเล่นหัวคลุกคลีกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ห้ามได้ยาก

5) เนื่องจากไข้หวัดเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้ฆ่าเชื้อกลุ่มนี้อย่างได้ผล จึงอาจกล่าวได้ว่ายังไม่มียาที่ใช้รักษาไข้หวัดโดยเฉพาะ เช่นเดียวกับโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสอื่นๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ หัด อีสุกอีใส คางทูม ไข้เลือดออก ตับอักเสบจากเชื้อไวรัส (ไวรัสลงตับ) เป็นต้น

การรักษาไข้หวัดและกลุ่มโรคที่เกิดจากไวรัส จึงอยู่ที่การพักผ่อน กินอาหารที่มีประโยชน์ (ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค) และให้ยารักษาไปตามอาการเท่านั้น

วิธีป้องกันและควบคุมไข้หวัด 2009

ปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) กำลังขยายตัวไปทั่วโลก และขณะนี้ประเทศไทยพบการระบาดภายในประเทศแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานศึกษา และสถานประกอบการ ซึ่งอาจแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้มีอาการคล้ายกันกับไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ส่วนใหญ่มีอาการน้อยและหายได้โดยไม่ต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาล



สำหรับผู้ป่วยจำนวนไม่มากในต่างประเทศที่เสียชีวิต มักเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคปอด หอบหืด โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน เป็นต้น ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ โรคอ้วน ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และหญิงมีครรภ์



สำหรับวิธีการติดต่อและวิธีการป้องกันโรค จะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ธรรมดา กระทรวงสาธารณสุข จึงขอให้คำแนะนำในการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) ดังต่อไปนี้



คำแนะนำสำหรับประชาชนทั่วไป



1. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ



2. ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ร่วมกับผู้อื่น



3. ไม่ควรคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด



4. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ดื่มน้ำมากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ



5. ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานาน โดยไม่จำเป็น



6. ติดตามคำแนะนำอื่นๆ ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด



คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่



1. หากมีอาการป่วยไม่รุนแรง เช่น ไข้ไม่สูง ไม่ซึม และรับประทานอาหารได้ สามารถรักษาตามอาการด้วยตนเองที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล ควรใช้พาราเซตามอลเพื่อลดไข้ (ห้ามใช้ยาแอสไพริน) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมากๆ



2. ควรหยุดเรียน หยุดงาน จนกว่าจะหายเป็นปกติ และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิด หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น



3. สวมหน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็นต้องอยู่กับผู้อื่น หรือใช้กระดาษทิชชู ผ้าเช็ดหน้า ปิดปากและจมูกทุกครั้งที่ไอ จาม



4. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ โดยเฉพาะหลังการไอ จาม



5. หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย อาเจียนมาก ซึม ควรรีบไปพบแพทย์

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

100 วิธีดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม

ใช้ผ้าแทนกระดาษทิชชู
เราใช้กระดาษทิชชูเช็ดมือ เช็ดหน้า ปีละหลายล้านฟุต ซึ่งหมายถึง การโค่นต้นไม้ลงจำนวนมหาศาล ช่วยกันลดการใช้กระดาษทิชชูด้วยการวางผ้ามือไว้ใกล้อ่างล้างมือ แล้วใช้ผ้าเช็ดโต๊ะแทนการใช้กระดาษทิชชูเช็ด
ใช้ถุงพลาสติกซ้ำหลาย ๆ ครั้ง
ประหยัดถุงพลาสติกได้โดยการใช้ซ้ำหลาย ๆ ครั้ง หากถุงพลาสติกสกปรก ก็ให้ทำความสะอาดแล้วแขวนไว้ให้แห้ง เพื่อส่งกลับเข้าโรงงานสำหรับผลิตใหม่
แยกทิ้งเศษกระดาษจากขยะอื่น
โปรดหลีกเลี่ยงการทิ้งเศษกระดาษลงในถังกับขยะอื่น ๆ เพราะจะทำให้กระดาษเปรอะเปื้อนไขมัน และเศษอาหารจะทำให้เศษกระดาษนั้นนำไปผลิตใหม่อีกไม่ได้
กระดาษที่นำไปรีไซเคิลไม่ได้
กระดาษที่ไม่สามารถนำไปเข้ากระบวนการผลิตใหม่เป็นกระดาษใช้ได้อีก ได้แก่ กระดาษที่เคลือบด้วยขี้ผึ้ง กระดาษที่เข้าเล่มด้วยกรรมวิธีการละลายโดยใช้ความร้อน เช่น สมุดโทรศัพท์ นิตยสารต่าง ๆ ตลอดจนกระดาษที่ถูกเปรอะเปื้อนด้วยการชนิดที่ไม่ละลายน้ำ
หนังสือพิมพ์สามารถแก้ไขปัญหา ขยะกระดาษ
แหล่งสร้างขยะกระดาษที่สำคัญก็คือหนังสือพิมพ์ หน้าที่เป็นขยะกระดาษโดย ผู้อ่านไม่ได้อ่าน ก็คือหน้าโฆษณาธุรกิจ ซึ่งมีอยู่ฉบับละหลาย ๆ หน้า ซึ่งแม้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหนังสือพิมพ์ แต่ ควรคำนึงว่า นั่นคือ การทำลายกระดาษสะอาด และสร้างขยะกระดาษให้เกิดขึ้นจำนวนมหาศาลในแต่ละวัน
เศษหญ้ามีประโยชน์
เศษหญ้าที่ถูกทิ้งอยู่บนสนามนั้น สามารถให้ประโยชน์ต่อสนามหญ้าได้มาก เพราะในเศษหญ้านั้น มีธาตุอาหาร ที่มีคุณค่าเทียบเท่ากับปุ๋ย ที่ใช้ใส่หญ้าทีเดียว
วิธีตัดกิ่งไม้
วิธีการตัดกิ่งก้านของต้นไม้ ไม้พุ่มใบไม้ ควรตัดให้เป็นเศษเล็กเศษน้อย เพื่อช่วยลดเศษขยะให้กับสวนได้ และทั้งยังช่วยให้เกิดการเน่าเปื่อยขึ้นกับเศษใบไม้นั้นเร็วขึ้นด้วย
ใช้เศษหญ้าคลุมไม้ใหญ่
เศษหญ้าที่ตัดจากสนามและสวนนั้น สามารถนำไปคลุมต้นไม้ใหญ่ได้ การใช้เศษหญ้าปกคลุมพืชในสวนจะช่วยในการกำจัดวัชพืชได้เพราะวัชพืช จะไม่สามารถแทงลำต้นผ่านเศษหญ้าได้ นอกจากนี้เมล็ดของวัชพืชที่ร่วงหล่นก็ไม่อาจหยั่งรากทะลุผ่านเศษใบไม้ได้ด้วย
ประโยชน์ของพลาสติกช่วยถนอมอาหาร
พลาสติกทุกชนิดหากถูกไฟไหม้ จะก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตราย ได้มีการรณรงค์ให้เลิกใช้พลาสติก แต่จริง ๆ แล้ว พลาสติกยังคงมีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันโดยเฉพาะพลาสติก มีประโยชน์ในการถนอมอาหารให้สดอยู่ได้ เป็นเวลานาน ๆ
พลาสติกรีไซเคิล
ปัจจุบันมีบริษัทกว่า 200 แห่ง ในอุตสาหกรรมการผลิตพลาสติกได้ทำการรีไซเคิลพลาสติก จำนวน 20% จากขวดเครื่องดื่ม พลาสติกที่ทำจาก Polyethylene Terephthalate หรือ PET จะถูกนำไปรีไซเคิล เป็นด้ามเครื่องจับไฟฟ้า กระเบื้องปูพื้น เส้นใยสังเคราะห์ในหมอน ถุงนอน หรือใช้บุเสื้อแจ็คเก็ต
พลาสติกรีไซเคิล (2)
ภาชนะพลาสติกที่ใส่น้ำผลไม้และนมนั้นทำมาจากพลาสติกชนิด Polyethylene ที่มีความเข้มข้นมากเมื่อใช้แล้วได้ถูกนำมารีไซเคิลทำเป็นท่อพลาสติก กระถางต้นไม้ เก้าอี้พลาสติก
วิธีเก็บขวดแก้วที่ใช้แล้ว
ขวดแก้วทุกชนิดที่บรรจุของเมื่อใช้แล้วควรทำความสะอาด และแยกชนิดของแก้ว และแยกสีของแก้วด้วย
วิธีเก็บกระป๋องอลูมิเนียมที่ใช้แล้ว
นำกระป๋องอลูมิเนียมที่ใช้แล้วมาบี้ให้แบนก่อนทิ้ง หรือขายแก่คนรับซื้อเศษโลหะ
น้ำสะอาดมาจากน้ำใต้ดิน
น้ำสะอาดที่เราใช้ประโยชน์ดื่มกิน ส่วนใหญ่ มาจากน้ำใต้ดิน การทิ้งขยะบนพื้นผิวดินทำให้มีผลถึงน้ำใต้ดิน เพราะน้ำฝนจะชะความเป็นพิษและความโสโครกให้ซึมลงไปถึงชั้นน้ำใต้ดินทำให้น้ำใต้ดินเน่าเสียและเป็นพิษได้
วิธีล้างรถยนต์
ล้างรถยนต์ด้วย ฟองน้ำ และใช้ถังน้ำจะใช้น้ำเพียง 15 แกลลอน แต่ถ้าล้างด้วยสายยางจะต้องสูญเสียน้ำถึง 150 แกลลอน
ดูแลรักษารถด้วยการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
การดูแลรักษารถจะต้องทำอย่างสม่ำเสมอได้แก่ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ตามระยะเวลาที่ระบุไว้ในคู่มือและทุกครั้งที่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ควรเปลี่ยนไส้กรองด้วย
รักษารถ ด้วยการเปลี่ยนไส้กรอง
ไส้กรองอากาศที่สกปรก จะทำให้การไหลของอากาศที่สะอาดทำได้น้อยลง มีผลต่อการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ด้วย
รักษารถ ช่วยลดมลพิษ
การดูแลรักษารถจะทำให้รถสามารถวิ่งได้เพิ่มขึ้นอีก 10% ของจำนวนไมล์ ซึ่งเท่ากับสามารถลดราคาเชื้อเพลิงลงได้ถึง 10% เช่นกัน การลดการใช้เชื้อเพลิงลงก็เท่ากับเป็นการช่วยลดมลพิษทางอากาศให้กับโลกได้ด้วย
ยางรถยนต์ ช่วยประหยัดน้ำมัน
การเติมลมยางรถ ให้พอดีและขับรถตามข้อกำหนดความเร็ว จะช่วยในการประหยัดน้ำมันได้
วิธีป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันเครื่อง
การป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันเครื่องจากตัวถังรถยนต์ สามารถทำได้ด้วยการปิดสลักเกลียวในเครื่องยนต์ทุกตัวให้แน่น โดยเฉพาะในส่วนที่ซึ่งน้ำมันเครื่องรั่วไหลออกไปได้
ช่วยป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันเพื่อลดมลพิษให้กับอากาศของเรา
ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อไหร่
ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อขับรถได้ทุก ๆ ระยะ 3,000-4,000 ไมล์ และควรเลือกใช้ไส้กรองที่ดีที่สุดด้วย
การเพิ่มออกซิเจนในน้ำมัน
วิธีการหนึ่งที่จะช่วยลดมลพิษให้กับรถยนต์ ก็คือ การเพิ่มส่วนผสมของออกซิเจนในน้ำมัน ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการเกิดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ได้เป็นจำนวนมาก
อันตรายจากก๊าซเรดอน
ก๊าซเรดอน เป็นก๊าซกัมมันตภาพรังสี มักพบแทรกอยู่ในดินและหิน มีคุณสมบัติที่สามารถซึมผ่านขึ้นมาบนผิวดิน และกระจายออกสู่อากาศได้โดยผ่านทางรอยร้าวและโพรงของคอนกรีตบล็อค ตามท่อ ก๊าซเรดอนเป็นก๊าซที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ
พิษของก๊าซเรดอนต่อร่างกาย
ก๊าซเรดอนเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อของปอด การได้รับสารกัมมันตภาพรังสีจากก๊าซเรดอนติดต่อกันนานกว่า 20-30 ปี จะทำให้เกิดเป็นมะเร็งที่ปอดได้
วิธีป้องกันอันตรายจากก๊าซเรดอน
การป้องกันอันตรายจากก๊าซเรดอน ทำได้โดยการไม่สูบบุหรี่ในบ้าน หรือในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้น้อย เปิดหน้าต่างให้มีการถ่ายเทระหว่างอากาศภายในบ้านกับอากาศนอกบ้านทุก ๆ วัน
ปลูกต้นไม้ในห้องช่วยลดมลพิษ
ปลูกต้นไม้ในห้อง โดยปลูกไม้กระถางผสมถ่านกับดิน ถ่านจะเป็นตัวช่วยดูดซับสารมลพิษและจุลินทรีย์ภายในห้องได้
พิษภัยของฝุ่นฝ้าย
ฝุ่นฝ้ายในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคปอดอักเสบ โดยฝุ่นฝ้ายจะเข้าไปทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอกและหัวใจ โปรดป้องกันตนเองจากฝุ่นฝ้ายด้วยการใช้อุปกรณ์ป้องกันในการหายใจ
วิธีใช้น้ำยาทำความสะอาดครัวเรือน
มีสารเคมีมากกว่า 63 ชนิด ที่ใช้เป็นส่วนผสมอยู่ในน้ำยาทำความสะอาดครัวเรือน เช่น น้ำยาถูพื้น น้ำยาขัดห้องน้ำ โปรดอ่านคำแนะนำในฉลากก่อนใช้ทุกครั้ง เพื่อป้องกันตัวเองให้พ้นจากพิษภัยอันตราย
เก้าอี้พลาสติกรีไซเคิล
เก้าอี้พลาสติกส่วนใหญ่ผลิตขึ้นใหม่จากพลาสติที่ใช้แล้ว เช่น เก้าอี้พลาสติกที่มีขนาดความยาว 6 ฟุต นั้น ทำมาจากถังพลาสติก ที่ใช้บรรจุนมเป็นจำนวนถึง 1050 ใบ
รักษาสิ่งแวดล้อมเริ่มต้นที่ใกล้ตัว
ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนั้น เราไม่จำเป็นต้องเดินทางไปจนถึงพื้นที่ป่าใหญ่ เพื่อปลูกป่า แต่เราสามารถเริ่มต้นอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายได้ในพื้นที่ใกล้บ้านเราเอง
พืชท้องถิ่นมีความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม
พืชดั้งเดิมของท้องถิ่นมีความสำคัญต่อระบบนิเวศวิทยา และมีความเหมาะสมกับสภาพอากาศและดินมากกว่าพืชที่นำเข้ามาจากที่อื่น ๆ ดังนั้น เราจึงควรต้องช่วยกันป้องกันและอนุรักษ์พืชท้องถิ่นไว้ไม่ให้สูญพันธุ์
รถยนต์ผลิตคาร์บอนไดออกไซด์
ทุก ๆ ปี รถยนต์คันหนึ่ง ๆ จะผลิต ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกมาสู่บรรยากาศโลกได้ในปริมาณที่มีน้ำหนักเท่ากับตัวรถเอง
น้ำมันก๊าซโซลีนเผาไหม้เกิดเป็นคาร์บอนไดออกไซด์
ทุก ๆ แกลลอน ของก๊าซโซลีนในรถยนต์ที่ถูกเผาไหม้จะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จำนวนถึง 9000 กรัม กระจายขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโลก
ปรากฏการณ์เรือนกระจก
การเผาไหม้เชื้อเพลิง จากเชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด ภาวะปรากฏการณ์เรือนกระจกขึ้น หากสามารถเปลี่ยนไปใช้พลังงานจากแหล่งอื่น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ก็จะช่วยลดอุณหภูมิความร้อนที่เกิดขึ้นกับโลกได้
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่แพร่หลายมากที่สุด คือ เครื่องคิดเลขที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งในแต่ละปี ผลิตออกจำหน่ายถึงกว่า 2,000,000 เครื่อง
การลดการใช้สำคัญกว่าการผลิตใช้ใหม่
การนำของที่ใช้แล้วมาผลิตใช้ใหม่ อาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่สำคัญเพราะความสำคัญไม่ได้อยู่ที่วิธีการนำพลาสติกที่ใช้แล้วกลับมาผลิตใช้ใหม่ได้อีก แต่สำคัญตรงที่เราควรจะหาวิธีลดการใช้พลาสติกให้น้อยลงต่างหาก
ผักปลอดสารพิษ
เมื่อใดก็ตามที่ได้ลงมือทำสวนครัวด้วยตนเอง เมื่อนั้นเราจึงจะเชื่อมั่นได้อย่างแน่นอนว่า เรากำลังมีโอกาสได้กินพืชผักที่ปลอดจากยาฆ่าแมลงแล้วจริง ๆ
สวนสาธารณะของเมือง
สวนสาธารณะนอกจากจะช่วยรักษาพื้นที่สีเขียวแล้ว ยังทำให้มีพื้นที่โล่งว่างขึ้นในท่ามกลางตึกอาคารสิ่งก่อสร้างที่เติบโตอย่างแออัดในเมืองใหญ่ สวนสาธารณะไม่เพียงจะช่วยให้อากาศบริสุทธิ์ แต่ยังเป็นสัญญลักษณ์จากธรรมชาติให้ผู้คนได้ตระหนักว่า เมืองมิใช่เป็นที่ตั้งของถนน อาคารระฟ้า และรถยนต์ เท่านั้น แต่ควรจะเป็นที่อยู่ของธรรมชาติด้วย
ดื่มน้ำสะอาดให้หมดแล้ว
ดื่มน้ำสะอาดให้หมดแก้วทุกครั้งอย่าเหลือทิ้ง เพราะน้ำสะอาดมีเหลืออยู่น้อยในโลกนี้ และกระบวนการทำน้ำให้สะอาดก็ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายมากขึ้นอยู่ตลอดเวลา
สมุนไพรแก้กลิ่นอับ
ในห้องที่มีกลิ่นอับ ให้ใช้สมุนไพรแห้ง หรือเครื่องหอมจากดอกไม้แห้ง ห่อด้วยเศษผ้าที่โปร่งบางแขวนไว้ในห้องที่มีกลิ่นอับ จะช่วยให้ห้องหายจากกลิ่นอับได้
ปิดเตาอบก่อนอาหารสุก
ทุกครั้งที่ปรุงอาหารด้วยเตาอบ ให้ปิดเตาอบก่อนอาหารสุกประมาณ 2-3 นาที เพราะความร้อนในเตาอบจะยังคงมีอยู่อย่างเพียงพอที่จะทำให้อาหารสุก
วิธีดูแลรักษาพรม
ดูแลรักษาพรมที่ปูพื้นให้สะอาดด้วยการดูดฝุ่น อย่างสม่ำเสมอ และในการกำจัดกลิ่นพรม ก็จะต้องใช้ผงเบกกิ้งโซดา (Baking Soda) โรยให้ทั่วพื้นพรม แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงทำการดูดฝุ่น จะทำให้พรมปลอดจากกลิ่นได้
การทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์
การทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ ทำได้ด้วยวิธีง่าย ๆ โดยใช้ผ้าบาง ๆ ชุบน้ำผสมสบู่ บิดให้หมาดแล้วใช้เช็ดถูเฟอร์นิเจอร์ จากนั้นใช้ผ้าแห้งซ้ำอีกครั้ง
กระดาษใช้แล้วนำมาผลิตใช้ใหม่
การนำกระดาษที่ใช้แล้ว กลับมาผลิตใช้ใหม่ ในจำนวนทุก ๆ 1 ตันนั้น เป็นการช่วยอนุรักษ์ต้นไม้ได้ถึง 17 ต้น
หมั่นปัดฝุ่นจากหลอดไฟ
ให้หมั่นปัดฝุ่นจากหลอดไฟเสมอ ๆ เพราะฝุ่นและความสกปรกบนส่วนที่เป็นแก้ว จะลดความสว่างของแสงที่ส่องจากหลอดไฟ ลงไปถึง 33 เปอร์เซ็นต์ทำให้แสงจากหลอดไฟไม่สว่างเท่าที่ควร
คุณค่าของต้นไม้ที่มีอายุกว่า 50 ปี
ต้นไม้ทุกต้นที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ขึ้นไป มีคุณค่าในการทำให้อากาศบริสุทธิ์ ควบคุมการกัดเซาะผิวดินและน้ำป่า ปกป้อง คุ้มครองชีวิตของสัตว์ป่าและสามารถควบคุมมลภาวะ ในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง
ต้นไม้ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ต้นไม้ที่อยู่ในสภาพสภาวะสมบูรณ์ สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากอากาศได้ถึง 40 ปอนด์ ในเวลา 1 ปี
พลังงานจากแก้วรีไซเคิล
พลังงานที่ได้จากการนำแก้วที่ใช้แล้วมาผลิตใช้ใหม่ 1 ใบ นั้น เทียบได้เท่ากับพลังงานของหลอดไฟ 60 วัตถ์ ที่ส่องสว่างได้เป็นเวลานานถึง 4 ชั่วโมง
พลังงานจากกระป๋องรีไซเคิล
พลังงานที่ได้จากการนำกระป๋องอลูมิเนียมที่ใช้แล้วมาผลิตใช้ใหม่ 1 ใบนั้น เทียบเท่าได้กับพลังงานแสงสว่างที่ใช้กับทีวีเป็นเวลานานถึง 3 ชั่วโมง
เวลาที่ควรรดน้ำต้นไม้
การรดน้ำต้นไม้ระหว่างเวลา 9 โมงเช้า จนถึง 5 โมงเย็น ปริมาณน้ำที่รดจะสูญเสียไปในการระเหยมากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนน้ำที่รด ดังนั้นเวลาที่ควรรดน้ำต้นไม้ที่ดีที่สุด คือ เวลา หลัง 6 โมงเย็น หรือก่อน 9 โมงเช้า
เงาต้นไม้ประหยัดพลังงาน
เงาของต้นไม้ช่วยลดความต้องการเครื่องปรับอากาศลงได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และในฤดูร้อนต้นไม้จะทำให้เมืองเย็นลงถึง 15 เปอร์เซ็นต์
คุณทำอย่างไรกับใบไม้ที่กวาดแล้ว
การเผาเศษใบไม้ทุก ๆ 1 ตัน จะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ถึง 117 ปอนด์ ฝุ่น 41 ปอนด์ และคาร์ซิโนเจน 7 ปอนด์ หรือมากกว่านั้น เศษใบไม้ที่กวาดแล้วควรนำมาทำปุ๋ยหมักหรือสุมไว้โคนต้นไม้ เพื่อให้ย่อยสลายเป็นปุ๋ย ต่อไป
หลอดไฟฟ้าประหยัดพลังงาน
การใช้หลอดไฟฟ้าแบบประหยัดพลังงาน 1 หลอด แทนการใช้หลอดไฟฟ้าแบบฟลูออเรสเซนต์ จะช่วยประหยัดพลังงานได้เป็นปริมาณเท่ากับ ถ่านหินหนัก 600 ปอนด์ ตลอดชั่วอายุของหลอดไฟฟ้าตลอดนั้น
วิธีลดมลพิษจากรถยนต์
วิธีการหนึ่งที่จะช่วยลดมลพิษจากรถยนต์ ก็คือการเพิ่มส่วนผสมของออกซิเจนในน้ำมัน การเพิ่มออกซิเจนในน้ำมันก็เพื่อช่วยลดปริมาณการเกิดของก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ให้ลดน้อยลง
ทำอย่างไรกับน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้ว
น้ำมันเครื่องที่ใช้แล้วจากรถยนต์ จะก่อมลภาวะให้เกิดกับแหล่งน้ำ และผิวดินได้หากมีการกำจัดที่ไม่เหมาะสม ทุกครั้งที่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ให้ถ่ายเทน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้วลงในภาชนะที่ปิดฝา แล้วส่งคืนให้กับสถานีบริการ
มลพิษจากเตาแก๊ส
แหล่งมลพิษของอากาศในบ้านที่สำคัญ ก็คือ เตาแก๊สในห้องครัวที่ไม่มีช่องหรือระบบระบายอากาศ จะเป็นแหล่งสะสมของก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ และคาร์บอนมอนอกไซด์ที่เกิดจากเตาแก๊ส สารมลพิษในห้องครัวจะลดลงได้ด้วยการระบายอากาศที่ดี
วิธีปลูกต้นไม้ในอาคาร
การปลูกต้นไม้ไว้ในอาคาร วิธีการที่เหมาะสมคือ การปลูกลงในกระถางที่ผสมถ่านกับดินไว้ด้วยกัน ถ่านจะเป็นตัวช่วยดูดซับสารมลพิษ และจุลินทรีย์ได้
ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ
ในอาคารที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ จะต้องทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศบ่อย ๆ และไม่ควรใช้ยากำจัดกลิ่นหรือแอร์เฟรชเชอเนอร์
ถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน
ทุกครั้งก่อนจะเข้าบ้าน ต้องถอดรองเท้าไว้ที่หน้าประตูบ้าน จะต้องไม่ใส่รองเท้าเข้าบ้าน เพราะพื้นรองเท้าเป็นที่รวมของสารพิษทั้งหลาย ที่เราไปเหยียบย่ำมาจากที่ต่าง ๆ
ส่วนของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ
โดยส่วนความสมดุลย์ของธรรมชาติ จะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่เป็นประมาณ 0.03% ของบรรยากาศ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำหน้าที่ดูดซับพลังงานจากดวงอาทิตย์ไว้ ทำให้โลกมีความอบอุ่นที่พอเหมาะ
ทำไมโลกจึงร้อนขึ้น
กิจกรรมทั้งหลายของมนุษย์ได้เป็นสาเหตุของการเพิ่มความร้อนให้กับโลก ได้แก่ การเผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิง การเผาป่าเขตร้อนของโลก ได้ทำให้ปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ในบรรยากาศ โลกจึงร้อนขึ้น
วิธีหยุดความร้อนให้กับโลก
เราสามารถหยุดยั้งการเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ด้วยการลดการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดความร้อนให้น้อยลง และต้องหยุดการเผาทำลายป่าลงให้ได้ ณ ทุกหนทุกแห่งของพื้นพิภพนี้
ปลูกป่าเพื่อให้โลกร่มเย็น
เพื่อให้โลกเย็นลง เราทุกคนจะต้องช่วยกันปลูกป่าคลุมพื้นที่ว่างเปล่าให้ได้มากที่สุด เพราะป่าเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดีที่สุดของโลก
สารอันตรายในถ่านอัลคาไลน์
ถ่านอัลคาไลน์เป็นถ่านที่ใช้ใส่กล้องถ่ายรูป ไฟฉาย นาฬิกา เครื่องคิดเลขที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งจัดเป็นของเสียที่เป็นอันตรายเพราะมีส่วนประกอบของสารอันตราย ได้แก่ แมงกานีส สังกะสี และปรอท
การเลือกใช้ถ่านแคดเมี่ยมแทนถ่านอัลคาไลน์
ควรเลือกใช้ถ่านแคดเมี่ยมแทนการใช้ถ่านอัลคาไลน์ เพราะถ่านแคดเมี่ยมเมื่อใช้หมดแล้วสามารถนำมาชาร์ตไฟใหม่ใช้ได้อีก ในขณะที่ถ่านอัลคาไลน์ใช้ได้เพียงครั้งเดียวก็ต้องทิ้ง
อ่านคำอธิบายก่อนใช้
ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารเคมีอันตราย ควรอ่านคำอธิบายให้เข้าใจก่อนใช้ทุกครั้ง และต้องปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้อย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิต ของตัวเอง
การเลือกซื้ออาหารกระป๋อง
ทุกครั้งที่เลือกซื้ออาหารกระป๋อง จะต้องตรวจหาวันหมดอายุที่บอกไว้บนภาชนะบรรจุสินค้านั้น ๆ และควรซื้ออาหารกระป๋องที่ยังไม่หมดอายุเท่านั้น
อันตรายจากอาหารกระป๋องที่หมดอายุ
อย่าซื้ออาหารกระป๋องที่หมดอายุแล้ว เพราะอาหารกระป๋องที่หมดอายุแล้วจะเป็นสาเหตุของพิษภัยอันตรายต่อร่างกาย เช่น มะเร็งที่ตับ โปรดระมัดระวังทุกครั้งที่ซื้ออาหารกระป๋อง เพราะที่หมดอายุแล้ว มักถูกนำมาลดราคาให้ถูกนำชวนซื้อ
แอมโมเนียในน้ำยาซักล้าง
ในน้ำยาซักล้างทุก ๆ ชนิด เช่น น้ำยาล้างกระจก น้ำยาย้อมผม น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำ จะมีส่วนประกอบของแอมโมเนียอยู่ด้วย โปรดใช้อย่างระมัดระวังทุกครั้ง เพราะแอมโมเนียมีผลโดยตรงต่อระบบทางเดินหายใจ
สารฟอร์มาลดีไฮด์
ในไม้อัด เสื้อผ้าใหม่ ๆ และน้ำยาล้างเล็บ จะมีสารฟอร์มาลดีไฮด์ เป็นสารประกอบอยู่ด้วย สารฟอร์มาลดีไฮด์จะมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ ฉะนั้นโปรดระมัดระวังทุกครั้งที่ใช้
บรรจุภัณฑ์ถนอมอาหาร
มีอาหารไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ที่ต้องอาศัยบรรจุภัณฑ์ ที่ช่วยในการถนอมอาหารเพื่อรักษาความกรอบของอาหารบรรจุภัณฑ์จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการห่อหุ้มอาหาร
บรรจุภัณฑ์ที่ฟุ่มเฟือย
ปัจจุบันบรรจุภัณฑ์ได้ถูกนำมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยจนเกินความจำเป็น และได้กลายเป็นขยะจำนวนมหาศาล ฉะนั้นโปรดช่วยกันลดขยะจากบรรจุภัณฑ์ด้วยการไม่ซื้อสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์ฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็น
ผลิตภัณฑ์เข้มข้นช่วยลดขยะบรรจุภัณฑ์ได้
ผลิตภัณฑ์บางชนิดที่พัฒนาการผลิตให้เข้มข้น ซึ่งผู้บริโภคสามารถนำไปเจือจางก่อนใช้เป็นการช่วยลดปริมาณขยะจากบรรจุภัณฑ์ได้
ใช้บรรจุภัณฑ์กระดาษแทนการใช้พลาสติกและโฟม
ปัจจุบันมีการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นกระดาษ เพื่อใช้บรรจุอาหารแทนบรรจุภัณฑ์พลาสติกและโฟม เช่น กล่องบรรจุน้ำผลไม้ นม เป็นต้น
บรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้
ควรเลือกซื้อสินค้าที่บรรจุในภาชนะที่สามารถนำกลับไปผลิตใช้ได้ใหม่ ดีกว่าบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวแล้วต้องทิ้ง
ควรเลือกซื้อสินค้าที่บรรจุกระป๋องอลูมิเนียมและแก้ว
ควรเลือกซื้อสินค้าที่บรรจุในกระป๋องอลูมิเนียมหรือแก้ว แทนสินค้าที่บรรจุในภาชนะพลาสติกและโฟม เพราะอลูมิเนียมและแก้วสามารถนำกลับไปผลิตใช้ได้ใหม่อีก
การเลือกซื้อ
ไม่ควรเลือกซื้อสินค้าที่ถูกบรรจุหรือหุ่มหุ้มด้วยบรรจุภัณฑ์ ที่ฟุ่มเฟือยมากเกินไป
ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชนิดเข้มข้น
ควรซื้อผลิตภัณฑ์ชนิดเข้มข้นแล้วนำไปเจือจางเอง โดยการเติมน้ำก่อนใช้เป็นการประหยัดภาชนะบรรจุได้
ซื้อสินค้าเท่าที่จำเป็น
ควรเลือกซื้อสินค้าเท่าที่ต้องการและใช้ให้หมด
สินค้าปลอดสารพิษ
ควรเลือกซื้อสินค้าที่ปลอดสารพิษเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและสุขภาพร่างกายของตัวท่านเอง
คุณสมบัติของสารละลาย
สารละลายเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการละลายวัตถุอื่น ๆ โดยปรกติแล้วสารละลายนี้จะอยู่ในรูปของเหลว เช่น ผสมอยู่ในทินเนอร์ที่ใช้ผสมสีและอยู่ในแลคเกอร์
วิธีป้องกันอันตรายจากสารละลาย
ส่วนประกอบของสารเคมีในสารละลาย เป็นอันตรายโดยตรงต่อดวงตา ผิวหนังและปอด
ทุกครั้งที่ต้องใช้สารละลายควรจะต้องแต่งกายด้วยเสื้อแขนยาว สวมถุงมือ ใส่แว่นตา และใช้สารละลายในที่ที่เปิดโล่งเท่านั้น
ในห้องปรับอากาศควรระบายอากาศ
ในห้องปรับอากาศควรเปิดหน้าต่างให้อากาศระบายได้ในบางช่วง และควรเปิดพัดลมดูดอากาศด้วยทุกครั้งที่เปิดแอร์
ผลิตภัณฑ์อันตรายไม่ควรทิ้งลงแม่น้ำ
ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายได้แก่ผลิตภัณฑ์ที่ติดไฟ น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำยาละลายสี ผลิตภัณฑ์ที่เป็นกรด น้ำยาทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์ที่เป็นพิษ เช่น ยากำจัดศัตรูพืช เมื่อใช้แล้วต้องมีวิธีกำจัดที่ถูกต้องและต้องไม่ทิ้งลงแม่น้ำ
สารอันตรายไดออกซิน
สารพิษที่มีอันตรายมากที่สุดที่เป็นส่วนประกอบของยาฆ่าแมลงคือ ไดออกซิน ไดออกซินแม้เพียงจำนวนเล็กน้อย ก็เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งได้ จึงไม่ควรใช้ยากำจัดศัตรูพืชที่มีส่วนผสมของไดออกซิน
อันตรายจากเบนซิน
เบนซินเป็นตัวทำละลายที่มีพิษต่อร่างกายที่รุนแรงที่สุด คือ เป็นต้นเหตุของการป่วยเป็นโรคลูคีเมียและทำลายไขกระดูก
ช่วยกันปลูกต้นไม้อีก 5 เท่าจึงจะเพียงพอ
ในปริมาณการใช้ไม้และจำนวนพื้นที่ป่าไม้ที่ลดลง ในปัจจุบันนั้นสามารถแก้ไขได้ด้วยการปลูกต้นไม้โตเร็วมากกว่าที่ปลูกอยู่ในปัจจุบันมากถึง 5 เท่า จึงจะเพียงพอกับการใช้ประโยชน์ในอนาคต
ไฮโดรเจนคือพลังงานทดแทน
ไฮโดรเจนเป็นพลังงานทดแทนที่ได้มาจากการแยกละลายสาร เช่น ไฟฟ้าจากน้ำ ไฮโดรเจนจัดเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดและไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศด้วย
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า
โลกได้ผลิตรถยนต์ชนิดใหม่เพื่อลดมลพิษให้กับท้องถนน รถยนต์ที่ผลิตขึ้นใหม่นี้ขับเคลื่อนโดยขบวนการเปลี่ยนไฮโดรเจนเหลว ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยไม่ต้องผ่านขบวนการเผาไหม้
ลักษณะของรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนเหลว
รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนเหลวนี้มีลักษณะเดียวกับรถไฟฟ้า แต่แตกต่างกันตรงที่มีถังเก็บไฮโดรเจนเหลวแทนแบตเตอรี่ ปัจจุบันพลังงานไฮโดรเจนเหลวกำลังได้รับการพัฒนารูปแบบเพื่อที่จะนำมาใช้บนท้องถนนแล้ว
รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนเหลวไม่ก่อมลพิษ
รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนเหลวไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสภาพแวดล้อม เพราะไฮโดรเจนเหลวที่ใช้กับตัวรถได้มาจากแหล่งที่สะอาด
หลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์
หลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์เป็นหลอดไฟฟ้าที่สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ถึง 75% และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าหลอดแบบขดลวดถึง 10 เท่า
วิธีลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับโลก
หากเราเผาถ่านให้น้อยลงและเผาพลาญน้ำมันให้น้อยลง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกขึ้นกับโลกก็จะลดน้อยลง
ขยะกระดาษ
ทุก ๆ อาทิตย์เราทิ้งกระดาษลงตระกร้าขยะมากถึง 1,000 ตัน แต่มีเพียงไม่ถึงร้อยละ 10 ที่กระดาษเหล่านั้นถูกนำกลับมาผลิตใช้ได้ใหม่อีก
อันตรายจากสีทาบ้าน
ในสีน้ำมันที่ใช้ทาบ้านนั้นมีส่วนประกอบของแคดเมี่ยมและไททาเนี่ยมออกไซด์ ไฮโดรคาร์บอนซึ่งเป็นสารที่มีอันตราย ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากสารอันตรายควรใช้สีน้ำในการทาสีบ้าน
การเติมลมยางรถช่วยประหยัดน้ำมัน
ในการบำรุงรักษารถ การเติมยางรถที่พอดีจะช่วยในการประหยัดน้ำมันได้ การเติมลมยางรถถ้าเติมอ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5 ตามการหมุนรอบของวงล้อที่เพิ่มขึ้น
เติมลมยางรถช่วยยืดอายุยางรถยนต์
การเติมลมยางรถยนต์ที่พอเหมาะพอดียังช่วยยืดอายุการใช้งาน ช่วยป้องกันไม่ให้ยางรถยนต์ฉีกขาดได้ง่ายจากสาเหตุที่เติมลมอ่อนหรือแข็งเกินไปอีกด้วย
เตาไมโครเวฟประหยัดไฟกว่าเตาอบ
การใช้เตาไมโครเวฟ จะช่วยประหยัดพลังงานจากไฟฟ้ามากกว่าเตาอบถึง 1-2 เท่า
ถ่านไฟฉายที่ชาร์ตไฟใหม่ได้ประหยัดกว่าถ่านไฟฉายธรรมดา
ถ่านไฟฉายที่ชาร์ตไฟได้ใหม่นั้นแม้จะมีส่วนประกอบของแคดเมี่ยม แต่ก็มีอายุการใช้งานได้นานกว่าถ่านไฟฉายแบบธรรมดาถึง 500 เท่า และช่วยลดปริมาณการใช้ถ่านธรรมดาได้มากที่สุด
อันตรายจากน้ำยาปรับอากาศ
ในน้ำยาปรับอากาศแอร์รีเฟรชเชอเนอร์นั้น มีส่วนประกอบของสารเคมีประเภทอเทอนอล ไซลีน ซึ่งเป็นสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การทำจิตให้สงบ

การทำจิตให้สงบ คือการวางให้พอดี ตั้งใจเกินไปมากมันก็เลยไป ปล่อยเกินไปมันก็ไม่ถึง เพราะขาดความพอดี ธรรมดาของจิต เป็นของไม่อยู่นิ่ง เป็นของมีกิริยาไหวตัวอยู่เรื่อย ฉะนั้นจิตใจของคนเราจึงไม่มีกำลัง

การทำจิตใจของเราให้มีกำลังกับการทำกายของเราให้มีกำลัง มันต่างกัน การทำกายให้มีกำลังก็คือการออกกำลังทำกายบริหาร มีการกระโดด การวิง นี่คือการทำกายให้มีกำลัง การทำจิตใจให้มีกำลังก็คือทำจิตให้สงบ ไม่ใช่ทำจิตให้คิดนั่นคิดนี่ไปต่างๆ ให้อยู่ในขอบเขตของมัน เพราะว่าจิตของเราไม่เคยได้สงบ ไม่เคยมีกำลัง มันจึงไม่มีกำลัง ทางด้านสมาธิภายใน

บัดนี้เราจะทำสมาธิ ก็ตั้งใจให้เอาความรู้สึกกำหนดอยู่กับลมหายใจ ถ้าหากว่าหายใจสั้นเกินไป หรือยาวเกินไป ไม่พอดี ไม่ได้สัดได้ส่วนกัน ไม่เกิดความสงบ เหมือนกันกับเราเย็บจักร ผู้เย็บจักรมีมือมีเท้า เราต้องถีบจักรเปล่าดูก่อน ให้รู้จัก ให้คล่องกับเท้าของเราเสียก่อนจึงเอาผ้ามาเย็บ

การกำหนดลมหายใจก็เหมือนกัน หายใจเฉยๆ กำหนดรู้ไว้ จะพอดีขนาดไหน ยาวขนาดไหน สั้นขนาดไหน จะให้ค่อยขนาดไหน แรงขนาดไหน จะยาวก็ไม่เอากับมันจะสั้นก็ไม่เอากับมัน จะค่อยก็ไม่เอากับมัน เอาตามความพอดี เอายาวพอดี เอาสั้นพอดี เอาค่อยพอดี เอาแรงพอดี นั่นเชื่อว่าความพอดี เราไม่ได้ขัดไม่ได้ข้อง แล้วก็ปล่อยหายใจดูก่อน ไม่ต้องทำอะไร

ถ้าหากว่าจิตสบายแล้ว จิตพอดีแล้ว ก็ยกลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ หายใจเข้า ต้นลมอยู่ปลายจมูก กลางลมอยู่หทัยคือหัวใจ ปลายลมอยู่สะดือ อันนี้เป็นแหล่งการเดินลม เมื่อหายใจออก ต้นลมจะอยู่สะดือ กลางลมจะอยู่หทัย ปลายลมจะอยู่จมูก นี่มันสลับกันอย่างนี้ กำหนดรู้เมื่อลมผ่านจมูก ผ่านหทัย ผ่านสะดือ พอสุดแล้วก็จะเวียนกลับมาอีกเป็นสามจุดนี้ ให้ความรู้ของเราอยู่ในความเวียนเข้าออกสามจุดนี้ พยายามติดตามลมหายใจเช่นนี้เรื่อยไป เพื่อรักษาความรู้นั้นและทำสติสัมปชัญญะของเราให้กล้าขึ้น

เมื่อหากว่าเรากำหนดจิตของเราให้รู้จักต้นลม กลางลม ปลายลมดีแล้วพอสมควร เราก็วาง เราจะหายใจเข้าออกเฉยๆ เอาความรู้สึกของเราไว้ปลายจมูก หรือริมฝีปากบนที่ลมผ่านออกผ่านเข้า เอาแต่ความรู้สึกไว้ที่นั่น ไม่ต้องตามลมออกไป ไม่ต้องตามลมเข้ามา เอาความรู้สึกหรือผู้รู้นั่นแหละไว้เฉพาะหน้าเราที่ปลายจมูก ให้รู้จักลมผ่านออกผ่านเข้า ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย เพียงแต่ให้มีความรู้สึกเท่านั้นแหละ ให้มีความรู้สึกติดต่อกัน ลมออกก็ให้รู้ ลมเข้าก็ให้รู้ ให้รู้อยู่แต่ที่นั่นแหละ รู้แล้วมันจะเป็นอะไรก็ไม่ต้องคิด เอาเพียงเท่านั้นเสียก่อน ในเวลานี้หน้าที่การงานของเรามีแค่นั้น ไม่ได้มีมาก กำหนดลมเข้าออกอยู่อย่างนั้นแหละ ต่อไปจิตก็สงบ ลมก็จะละเอียดเข้าไป น้อยเข้าไป กายก็จะเบาเข้าไป จิตก็จะสงบ ความเบากายเบาใจนั้นก็จะเกิดขึ้นมา จะเป็นกายควรแก่การงานและจะเป็นจิตควรแก่การงานต่อไป นี่คือการทำสมาธิ ไม่ต้องทำอะไรมาก ให้กำหนดเท่านั้น ต่อไปนี้ให้ตั้งใจทำ กำหนดไป….

จิตของเราละเอียดเข้าไป การทำสมาธินั้นจะไปไหนก็ช่างมัน ให้เรารู้ทันเอาไว้ ให้เรารู้จักมัน มันมีทั้งอารมณ์ มีทั้งความสงบคลุกคลีกันไป มันมีวิตก วิตกคือการจะยกจิตของตนนึกถึงอันใดอันหนึ่งขึ้นมา ถ้าสติของเราน้อยก็จะวิตกน้อย แล้วก็มีวิจารณ์ คือการตรวจดูตามเรื่องที่เราวิตกนั้น แต่ข้อสำคัญนั้นต้องพยายามรู้ให้ทันอยู่เสมอ แล้วก็พิจารณาลึกลงไปอีก ให้เห็นว่ามีทั้งสมาธิและมีทั้งความรู้รวมอยู่ในนั้น

คำว่า "จิตสงบ" นั้นไม่ใช่ว่าไม่มีอะไร มันต้องมี มีความสงบครอบครองอยู่ ท่านกล่าวถึงองค์ของความสงบขั้นแรกว่า หนึ่งมีวิตก ยกเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา แล้วก็มีวิจารณ์ คือพิจารณาตามอารมณ์ ที่เกิดขึ้นมา ต่อไปก็จะมีปีติ คือความยินดีในสิ่งที่เราวิตกไปนั้น ในสิ่งที่เราวิจารณ์ไปนั้นจะเกิดปีติคือความยินดีซาบซึ้งอยู่โดยเฉพาะของมัน แล้วก็มีสุข สุขอยู่ไหน สุขอยู่ในการวิตก สุขอยู่ในการวิจารณ์ สุขอยู่กับความอิ่มใจ สุขอยู่กับอารมณ์เหล่านั้น แหละ แต่ว่ามันสุขอยู่ในความสงบ วิตกก็วิตกอยู่ในความสงบ วิจารณ์ก็วิจารณ์อยู่ในความสงบ ความอิ่มใจก็อยู่ในความสงบ สุขก็อยู่ในความสงบ ทั้งสี่อย่างนี้เป็นอารมณ์อันเดียวกัน อย่างที่ห้าคือเอกัคคตา ห้าอย่างแต่เป็นอันเดียวกัน คือทั้งห้าอย่างนี้เป็นอารมณ์ แต่มีลักษณะอยู่ในขอบเขตอันเดียวกัน คือเมื่อจิตสงบ วิตกก็มี วิจารณ์ก็มี ปีติก็มี สุขก็มี เอกัคคตาก็มี ทั้งหมดนี้เป็นอารมณ์เดียวกัน

คำว่าอารมณ์เดียวกันนั้นทำไมจึงมีหลายอย่างหมายความว่า มันจะมีหลายอาการก็ช่างมัน เพราะอาการทั้งหลายนั้นจะมารวมอยู่ในความสงบอันเดียวกัน ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่รำคาญ เหมือนกับว่ามีคน ๕ คน แต่ลักษณะของคนทั้ง ๕ คนนั้นมีอาการเดียวกัน คือจะมีอารมณ์ทั้ง ๕ อารมณ์ เมื่ออารมณ์อันนั้นอยู่ในลักษณะนี้ท่านเรียกว่า "องค์" องค์ของความสงบ ท่านไม่ได้เรียกว่าอารมณ์ ท่านเรียกว่า วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เป็นอารมณ์ตามธรรมดา ท่านจึงจัดว่าเป็นองค์ของความสงบ มีอาการอยู่ ๕ อย่าง วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา ไม่มีความรำคาญ วิตกอยู่ก็ไม่รำคาญ วิจารณ์อยู่ก็ไม่รำคาญ มีปีติก็ไม่รำคาญ มีความสุขก็ไม่รำคาญ จิตจึงเป็นอารมณ์เดียวอยู่ในสิ่งทั้ง ๕ นี้ จับรวมกันอยู่เรื่องจิตสงบขั้นแรกจึงเป็นอย่างนี้

ทีนี้บางอย่างอาจถอยออกม ถ้ากำลังใจไม่กล้า สติหย่อนไปแล้ว มันจะมีอารมณ์มาแทรกเข้าไปเป็นบางครั้ง คล้ายๆ กับว่าเคลิ้มไป แล้วมีอาการอะไรบางอย่างเข้ามาแทรกตอนที่มันเคลิ้มไป แต่ไม่ใช่ความง่วงตามธรรมดาท่านว่ามีความเคลิ้มในความสงบ บางทีก็มีอะไรบางอย่างแทรกเข้ามา เช่นว่า บางทีมีเสียงปรากฏบ้าง บางทีเหมือนเห็นสุนัขวิ่งผ่านไปข้างหน้าบ้าง แต่ว่าไม่ชัดเจนและก็ไม่ใช่ฝันอันนี้จัดเป็นฝันไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะกำลังทั้ง ๕ ดังกล่าวแล้วไม่สม่ำเสมอกัน มันอ่อนลง อ่อนเคลิ้มลง จึงเกิดอารมณ์เข้าแทรก อันนี้เป็นอาการของจิต ถ้าหากว่าเรามีความสงบมันก็มีสิ่ง ๕สิ่งนี้เป็นบริวารอยู่ แต่เป็นบริวารในความสงบอันนี้เป็นเบื้องแรกของมัน

ขณะที่จิตเราสงบอยู่ในขั้นนี้ ชอบมีนิมิต ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางจิต มันชอบเป็น แต่ผู้ทำสมาธิจับไม่ค่อยถูกว่า "มันหลับไหม? ก็ไม่ใช่" "มันฝันไปหรือ? ก็ไม่ใช่" ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น มันเป็นอาการเกิดมาจากความสงบ ครึ่งๆ กลางๆ ก็ได้ บางทีก็แจ่มใสเป็นธรรมดา บางทีก็คลุกคลีไปกับความสงบบ้าง กับอารมณ์ทั้งหลายบ้าง แต่อยู่ในขอบเขตของมัน

อย่างไรก็ตามบางคนทำสมาธิยาก เพราะอะไร เพราะจริตแปลกเขา แต่ก็เป็นสมาธิ แต่ก็ไม่หนักแน่น ไม่ได้รับความสบายเพราะสมาธิ แต่จะได้รับความสบายเพราะปัญญาเพราะปัญญาความคิด เห็นความจริงของมันแล้วก็แก้ปัญหาถูกต้อง เป็นประเภทปัญญาวิมุต ไม่ใช่เจโตวิมุต* มันจะมีความสบายทุกอย่างที่จะได้เกิดขึ้นเป็นหนทางของเรา เพราะปัญญา สมาธิมันน้อย คล้ายๆ กับว่าไม่ต้องนั่งสมาธิพิจารณา "อันนั้น เป็นอะไรหนอ" แล้วแก้ปัญหาอันนั้นได้ทันทีสบายไป เลยสงบ ลักษณะผู้มีปัญญาต้องเป็นอย่างนั้น ทำสมาธิไม่ค่อยได้ง่ายและไม่ค่อยดีด้วย มีสมาธิแต่เพียงเฉพาะปัญญาให้เกิดขึ้นมาได้ โดยมากอาศัยปัญญา เช่น สมมติว่า ทำนากับทำสวน เราอาศัยนามากกว่าสวน หรือทำนากับทำไร่ เราจะได้อาศัยนามากกว่าไร่ ในเรื่องของเราอาชีพของเรา และการภาวนาของเราก็เหมือนกัน มันจะได้อาศัยปัญญาแก้ปัญหา แล้วจะเห็นความจริงความสงบจึงเกิดขึ้นมา มันเป็นไปอย่างนั้น ธรรมดาก็เป็นไปอย่างนั้น มันต่างกัน

บางคนแรงในทางปัญญา สมาธิเป็นฐานไม่มากคล้ายๆ กับว่านั่งสมาธิ ไม่ค่อยสงบ ชอบมีความปรุงแต่ง มีความคิดและมีปัญญาชักเรื่องนั้นมาพิจารณา ชักเรื่องนี้มาพิจารณา แล้วพิจารณาลงสู่ความสงบก็เห็นความถูกต้องอันนั้นจะได้มีกำลังกว่าสมาธิ อันนี้จริตของบางคนเป็นอย่างนั้น แม้จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็ตาม ความตรัสรู้ธรรมะนั้นไม่แน่นอน จะเป็นอิริยาบถใดก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นั่งก็ได้ นอนก็ได้ อันนี้แหละผู้แรงด้วยปัญญา เป็นผู้มีปัญญาสามรถ ที่จะไม่เกี่ยวข้องกับสมาธิมากก็ได้ ถ้าพูดกันง่ายๆ ปัญญาเห็นเลย เห็นไปเลยก็ละไปเลย สงบไปเลย ได้ความสบายเพราะอันนั้น มันเห็นชัด มันเห็นจริง เชื่อมั่นยืนยันเป็นพยานตนเองได้ นี่จริตของบางคนเป็นไปอย่างนี้ แต่จะอย่างไรก็ช่าง มันก็ต้องทำลายความเห็นผิดออก เหลือแต่ความเห็นถูก ทำลายความฟุ้งซ่านออกเหลือแต่ความสงบ มันก็จะลงไปสู่จุดอันเดียวกัน

บางคนปัญญาน้อย นั่งสมาธิได้ง่าย สงบ สงบเร็วที่สุด ไว แต่ไม่ค่อยมีปัญญา ไม่ทันกิเลสทั้งหลาย ไม่รู้เรื่องกิเลสทั้งหลาย แก้ปัญหาไม่ค่อยได้ พระโยคาวจรเจ้าผู้ปฏิบัติมีสองหน้าอย่างนี้ ก็คู่กันเรื่อยไป แต่ปัญญาหรือวิปัสสนากับสมถะมันก็ทิ้งกันไม่ได้ คาบเกี่ยวกันไปเรื่อยๆ อย่างนี้

ทีนี้ถ้ามันชัดแจ้งในความสงบ เมื่อมีอารมณ์มาผ่านมีนิมิตขึ้นมาผ่านก็ไม่ได้สงสัยว่า "เคลิ้มไปหรือเปล่าหนอเมื่อกี้นี้?" "หลับไปหรือเปล่าเมื่อกี้นี้?" "ลืมไปหรือเปล่าหนอเมื่อกี้นี้?" "หลับไปหรือเปล่าหนอเมื่อกี้นี้?" จิตขณะนี้สงสัย "หลับก็ไม่ใช่ ตื่นก็ไม่ใช่ " นี่มันคลุมเครือ เรียกว่ามันมั่วสุมอยู่กับอารมณ์ ไม่แจ่มใส เหมือนกันกับพระจันทร์เข้าก้อนเมฆ มองเห็นอยู่แล้ว แต่ไม่แจ่มแจ้ง มัวๆ ไม่เหมือนกับพระจันทร์ออกจากก้อนเมฆนั้น แจ่มใส สะอาด จิตเราสงบ มีสติสัมปชัญญะรอบคอบสมบูรณ์แล้ว จึงไม่สงสัยในอาการทั้งหลายที่เกิดขึ้น จะหมดจากนิวรณ์จริงๆ รู้ว่าอันใดเกิดขึ้นมาเป็นอันใด หมดทุกอย่าง รู้แจ้ง รู้เรื่องตามเป็นจริง ไม่ได้สงสัย อันนั้นเป็นดวงจิตที่ใสสะอาดสมาธิถึงขีดแล้วเป็นเช่นนั้น

ระยะหลัง ๆ มาก็เป็นไปในรูปอย่างนี้ทำนองนี้ เป็นเรื่องธรรมดาของมัน ถ้าจิตแจ่มแจ้งผ่องใสแล้ว ไม่ต้องไปถามว่าง่วงหรือไม่ง่วง ใช่หรือไม่ใช่ ทั้งหลายเหล่านี้มันก็ไม่มีอะไร ถ้ามันชัดเจนก็เหมือนเรานั่งธรรมดานี้เอง นั่งเห็นธรรมดา หลับตาก็เหมือนลืมตา เห็นในขณะหลับตาก็เหมือนลืมตาเห็น ทุกอย่างสารพัดไม่มีความสงสัย เพียงแต่เกิดอัศจรรย์ขึ้นในดวงจิตของเราว่า "เอ๊ะ! สิ่งเหล่านี้มันก็เป็นของมันไปได้ มันไม่น่าจะเป็นไปได้ มันก็เป็นของมันได้" อันนี้จะวิพากษ์วิจารณ์มันเองไปเรื่อยๆ ทั้งมีปีติ ทั้งมีความสุขใจ มีความอิ่มใจ มีความสงบ เป็นเช่นนั้น ต่อนั้นไป จิตมันจะละเอียดไปยิ่งกว่านั้น มันก็จะทิ้งอารมณ์ของมันไปด้วย วิตกยกเรื่องขึ้นมาก็จะไม่มี และเรื่องวิจารณ์มันก็จะหมด จะเหลือแต่ความอิ่มใจ อิ่มไม่รู้ว่าอิ่มอะไร แต่มันอิ่ม เกิดความสุขกับอารมณ์เดียว นี่มันทิ้งไป วิตาวิจารณ์มันทิ้งไป ทิ้งไปไหน ไม่ใช่เรื่องทิ้ง จิตเราหดตัวเข้ามาคือมันสงบ เรื่องวิตกวิจารณ์มันเป็นของหยาบไปแล้ว มันเข้ามาอยู่ในที่นี้ไม่ได้ ก็เรียกว่าทิ้งวิตก ทิ้งวิจารณ์ ทีนี้จะไม่มีความวิตก ความยกขึ้นวิจารณ์ ความพิจารณาไม่มี มีแต่ความอิ่ม มีความสุขและมีอารมณ์เดียวเสวยอยู่อย่างนั้น

ที่เขาเรียกว่า ปฐมฌาณ ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฒาน เราไม่ได้ว่าอย่างนั้น เราพูดถึงแต่ความสงบ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา ต่อไปนี้ก็ทิ้งวิตก วิจารณ์ เกิดขึ้นมาแล้วก็ทิ้งไป เหลือแต่ปีติกับสุข เอกัคตา ต่อไปก็ทิ้งปีติ เหลือแต่สุขกับเอกัคคตา ต่อไปก็มีเอกัคคตากับอุเบกขามันไม่มีอะไรแล้ว มันทิ้งไป เรียกว่าจิตมันสงบ ๆๆๆ จนไปถึงที่อารมณ์มันน้อยที่สุด ยังเหลือแต่โน้น…ถึงปลายมันเหลือแต่เอกัคคตากับอุเบกขา เฉยอย่างนี้ อันนี้มันสงบแล้วมันจึงเป็น นี่เรียกว่ากำลังของจิต อาการของจิตที่ได้รับความสงบแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้มันไม่ง่วง ความง่วงเหงาหาวนอนมันเข้าไม่ได้ นิวรณ์ทั้งห้ามันหนีหมด วิจิกิจฉา ความสงสัย ลังเล อิจฉาพยาบาท ฟุ้งซ่าน รำคาญ หนี เหล่านี้ไม่มีแล้ว นี่มันค่อยเคลื่อนไปเป็นระยะอย่างนั้น นี่อาศัยการกระทำให้มาก เจริญให้มาก

สิ่งที่รักษาสมาธินี้ไว้ได้คือ สติ สตินี้เป็นธรรม เป็นสภาวะธรรมอันหนึ่ง ซึ่งให้ธรรมอันอื่นๆ ทั้งหลายเกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียง สตินี้คือชีวิต ถ้าขาดสติเมื่อใดก็เหมือนตาย ถ้าขาดสติเมื่อใดก็เป็นคนประมาท ในระหว่างขาดสตินั้น พูดไม่มีความหมาย การกระทำไม่มีความหมาย ธรรมคือสตินี้คือความระลึกได้ในลักษณะใดก็ตาม สติเป็นเหตุให้สัมปชัญญะเกิดขึ้นมาได้ เป็นเหตุให้ปัญญาเกิดขึ้นมาได้ทุกสิ่งสารพัด ธรรมทั้งหลายถ้าหากว่าขาดสติ ธรรมทั้งหลายนั้นไม่สมบูรณ์ อันนี้คือการควบคุม การยืน การเดิน การนั่ง การนอน ไม่ใช่แต่เพียงขณะนั่งสมาธิเท่านั้น แม้เมื่อเราออกจากสมาธิไปแล้ว สติก็ยังเป็นสิ่งประจำใจอยู่เสมอ ทำอะไรก็ระมัดระวัง เมื่อระมัดระวังทางจิตใจ ความอายมันก็เกิดขึ้นมา การพูดการกระทำอันใดที่ไม่ถูกต้อง เราก็อายขึ้น อายขึ้น เมื่อความอายกำลังกล้าขึ้นมา ความสังวรก็มากขึ้นด้วย เมื่อความสังวรมากขึ้น ความประมาทก็ไม่มี

นี่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้นั่งสมาธิอยู่ตรงนั้น เราจะไปไหนก็ตาม อันนี้มันอยู่ในจิตของตัวเอง มันไม่ได้หนีไปไหน นี่ท่านว่าเจริญสติ ทำให้มาก เจริญให้มาก อันนี้เป็นธรรมะ คุ้มครองรักษากิจการที่เราทำอยู่หรือทำมาแล้ว หรือกำลังจะกระทำอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นธรรมะที่มีคุณประโยชน์มาก ให้เรารู้ตัวอยู่ทุกเมื่อ ความเห็นผิดชอบมันก็มีอยู่ทุกเมื่อ เมื่อความเห็นผิดชอบมีอยู่ เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อ ความละอายก็เกิดขึ้น จะไม่ทำสิ่งผิดหรือสิ่งที่ไม่ดี เรียกว่าปัญญาเกิดขึ้นแล้ว

เมื่อรวบยอดเข้ามา มันจะมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา คือการสังวรสำรวมที่มีอยู่ในกิจการของตนนั้น ก็เรียกว่าศีล ศีลสังวร ความตั้งใจมั่นอยู่ในความสังวรสำรวมในข้อวัตรของเรานั้น ก็เรียกว่ามันเป็นสมาธิ ความรอบรู้ทั้งหลายในกิจการที่เรามีอยู่นั้น ก็เรียกว่าปัญญา พูดง่ายๆ ก็คือจะมีศีล จะมีสมาธิ จะมีปัญญา ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี เมื่อมันกล้าขึ้นมา มันก็คือมรรค นี่แหละคือหนทาง ทางอื่นไม่มี

วิธีนั่งสมาธิและเดินจงกรม "หลวงตามหาบัว"

การนั่งสมาธิ


1. นั่งขัดสมาธิ ตามแบบพระพุทธรูปเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย วางมือทั้งสองไว้บนตัก

2. ตั้งกายตรง อย่าก้มนักเงยนัก อย่าให้เอียงซ้ายเอียงขวาจนผิดธรรมดา ไม่กดหรือเกร็งอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งอันเป็นการบังคับกายให้ลำบาก ปล่อยวางอวัยวะทุกส่วนไว้ตามปกติธรรม

3. ระลึก พุทโธ ธัมโม สังโฆ 3 ครั้ง อันเป็นองค์พระรัตนตรัยก่อน

4. นึกคำบริกรรมภาวนา โดยกำหนดเอาเพียงบทเดียวติดต่อกันไปด้วยความมีสติเช่น พุทโธ พุทโธ พุทโธ ... เป็นต้น
ให้นึกพุทโธ พุทโธ พุทโธ ... สืบเนื่องกันไปด้วยความมีสติและพยายามทำความรู้สึกตัวอยู่กับ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ... อย่าให้จิตเผลอตัวไปสู่อารมณ์อื่นระหว่างจิต สติกับคำบริกรรมมีความกลมกลืนกันได้เพียงไรยิ่งเป็นความมุ่งหมายของการภาวนาเพียงนั้น ผลคือความสงบเย็นใจจะพึงเกิดขึ้น

การเดินจงกรม

1. พึงกำหนดทางจงกรมที่ตนจะพึงเดินสั้นหรือยาวเพียงไร ความยาว 25-30 ก้าวเป็นความเหมาะสมทั่วไป พึงดูว่าเราจะเดินจากที่นี่ไปถึงที่นั่นหรือถึงที่โน้น
สำหรับทิศทางที่ท่านนิยมปฏิบัติมามี 3 ทิศ คือ ตรงตามแนวตะวันออกตะวันตก 1 ตามแนวตะวันออกเฉียงใต้ 1 ตามแนวตะวันออกเฉียงเหนือ 1 จากนั้นตกแต่งทางจงกรมให้เรียบร้อยก่อนเดิน

2. ผู้จะเดินกรุณาไปยืนที่ต้นทางจงกรม และพึงยกมือทั้งสองขึ้นประนมไว้เหนือระหว่างคิ้ว ระลึกคุณพระรัตนตรัย และระลึกถึงคุณบิดามารดา อุปัชฌาย์อาจารย์ตลอดท่านผู้เคยมีพระคุณแก่ตน
จบแล้วรำพึงถึงความมุ่งหมายแห่งความเพียรที่กำลังจะทำด้วยความตั้งใจเพื่อผลนั้น ๆ เสร็จแล้วปล่อยมือลง
เอามือขวาทับมือซ้ายทาบกันไว้ใต้สะดือตามแบบพุทธรำพึง เจริญพรหมวิหาร 4 จบแล้วทอดตาลงเบื้องต่ำ ท่าสำรวม

3. กำหนดตั้งสติกำหนดจิตและธรรมที่เคยนำมาบริกรรมกำกับใจ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ... เป็นต้น แล้วออกเดินจงกรมจากต้นทางถึงปลายทางจงกรมที่กำหนดไว้เดินกลับไปกลับมาในท่าสำรวม มีสติอยู่กับบทธรรมหรือสิ่งที่พิจารณาโดยสม่ำเสมอ ไม่ส่งจิตไปอื่นจากงานที่กำลังทำอยู่ในเวลานั้น

4. ขณะเดินจงกรม พึงกำหนดสติกับคำบริกรรม พุทโธ พุทโธ พุทโธ ... ให้กลมกลืนเป็นอันเดียวกัน ประคองความเพียงด้วยสติสัมปชัญญะ มีใจแน่วแน่ต่อธรรมที่บริกรรมให้จิตรู้อยู่กับ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ... ทุกระยะที่ก้าวเดินไปและถอยกลับมา

ข้อพึงสำรวม
การเดินไม่พึงเดินไกวแขน
ไม่เอามือขัดหลังหรือกอดอก
ไม่เดินมองโน้นมองนี่ อันเป็นท่าไม่สำรวม

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ประเทศฝรั่งเศสน่ารู้

สิ่งน่ารู้ของประเทศฝรั่งเศส
ประชากร
ประชากรจำนวน 62.2 ล้านคน (ปี 2005)
ความหนาแน่นของประชากร 96 คนต่อตารางกิโลเมตร
เมืองมีประชากรมากกว่า 100,000 คนมีถึง 57 เมือง

สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
- พื้นที่เกษตรกรรมและทำป่าไม้มีประมาณ 48 ล้านเฮกตาร์ คิดเป็นร้อยละ 82 ของพื้นที่โดยรวมทั้งประเทศ (เฉพาะฝรั่งเศสส่วนภาคพื้นทวีป)
- พื้นที่ป่ามีประมาณร้อยละ 30 และนับว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหภาพยุโรปรองจากสวีเดนและฟินแลนด์ ตั้งแต่ปี 1945 พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 46 และถ้าพูดถึงในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา นับว่าเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว
- ฝรั่งเศสมีความแตกต่างไปจากประเทศอื่นๆในยุโรปเพราะมีพันธุ์ไม้มากถึง 136 ชนิด ในส่วนของสัตว์ใหญ่ก็เพิ่มจำนวนขึ้น ภายในช่วงระยะเวลา 20 ปี จำนวนของสัตว์ประเภทกวางเพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่า

ประเทศฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับมรดกทางธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ จึงได้มีการจัดตั้ง
- อุทยานแห่งชาติ 7 แห่ง
- ป่าสงวน 156 แห่ง
- เขตรักษาพันธุ์พืชและสัตว์ป่า 516 แห่ง
- รวมทั้งประกาศให้พื้นที่อีก 429 แห่งเป็นเขตอนุรักษ์อยู่ภายใต้การดูแลของสถาบันอนุรักษ์ชายฝั่งทะเล
- นอกจากนี้ยังมีอุทยานธรรมชาติตามภูมิภาคต่างๆ อีกกว่า 37 แห่งซึ่งกินพื้นที่กว่าร้อยละ 7 ของประเทศ

งบประมาณจำนวน 32 พันล้านยูโรได้รับการจัดสรรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเมื่อคิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อประชากรจะเท่ากับ 516 ยูโร ทั้งนี้ 3 ส่วน 4 ของเงินข้างต้นจะเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องของการบำบัดน้ำเสียและการจัดการของเสียต่างๆ

ในระดับนานาชาติ ฝรั่งเศสเป็นภาคีของสนธิสัญญาและอนุสัญญาทางด้านสิ่งแวดล้อมหลายฉบับ รวมทั้งอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพและการแปรสภาพเป็นทะเลทราย

พื้นที่
ฝรั่งเศสมีพื้นที่ 550,000 ตารางกิโลเมตร นับเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก (ประมาณเกือบหนึ่งในห้าของพื้นที่ของสหภาพยุโรป) อีกทั้งยังมีพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่กินอาณาบริเวณกว้างขวาง (เขตเศรษฐกิจจำเพาะมีพื้นที่ทั้งสิ้น 11 ล้านตารางกิโลเมตร)
ภูมิประเทศและสภาพอากาศ
ที่ตั้งและขนาด

ประเทศฝรั่งเศสตั้งอยู่ในยุโรปตะวันตกระหว่างมหาสมทุรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ล้อมรอบด้วยประเทศเพื่อนบ้าน 6 ประเทศ

ทิศเหนือ คือ ลุกเซมเบอร์กและเบลเยี่ยม
ทิศใต้ ประเทศสปน
ทิศตะวันออก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี และเยอรมัน
ทิศตะวันตก ติดมหาสมุทรแอตแลนติค

ขนาดพื้นที่และจำนวนประชากรของฝรั่งเศสนับว่าใกล้เคียงกับประเทศไทยมาก กล่าวคือ ฝรั่งเศสมีพื้นที่และ จำนวนประชาชน ของฝรั่งเศส นับว่าใกล้เคียงกับประเทศไทยมาก กล่าวคือ ฝรั่งเศสมีพื้นที่ จำนวน 551,000 ตารางกิโลเมตร ส่วนประเทศไทยมีพื้นที่ 513,142 ตารางกิโลเมตร ประชากรฝรั่งเศสมีประมาณ 58.5 ล้านคน ประเทศไทยมีประมาณ 60 ล้านคน

ภูมิอากาศ แบ่งเป็น 4 ฤดู คือ
ฤดูใบไม้ผลิ 21 มีนาคม – 21 มิถุนายน อุณหภูมิเฉลี่ย 1 ถึง 22ฐ C
ฤดูร้อน 22 มิถุนายน – 22 กันยายน อุณหภูมิเฉลี่ย 10 ถึง 25ฐ C
ฤดูใบไม้ร่วง 23 กันยายน – 21 ธันวาคม อุณหภูมิเฉลี่ย 0 ถึง 21ฐ C
ฤดูหนาว 22 ธันวาคม – 20 มีนาคม อุณหภูมิเฉลี่ย -1 ถึง 15ฐ C
การศึกษาต่อในประเทศฝรั่งเศส



การเตรียมตัวก่อนไปฝรั่งเศส
การเตรียมตัวก่อนไปฝรั่งเศสเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะช่วยให้ท่านประสบความสำเร็จในการศึกษา ขั้นตอนต่างๆ เช่น การหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศส การเลือกสาขาวิชา การสมัครเข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษา และการขอวีซ่าระยะยาวประเภทนักศึกษา เป็นขั้นตอนที่จำเป็นต้องปฏิบัติก่อนออกเดินทาง อนึ่ง ท่านจะต้องมีแหล่งรายได้ที่เพียงพอสำหรับการศึกษาในฝรั่งเศส (ทุนการศึกษา หรือเงินช่วยเหลือ หรือการอุดหนุนจากครอบครัว)

การสมัครเข้าเรียนล่วงหน้าในมหาวิทยาลัย กรณีการศึกษาปีที่ 1 และปีที่ 2
การสมัครเข้าเรียนล่วงหน้า เป็นข้อบังคับในกรณีที่ท่านจะลงทะเบียนเรียนเป็นครั้งแรกในช่วงการศึกษาที่ 1 (ปี 1 และปี2) ของมหาวิทยาลัยทุกสาขาวิชา รวมถึงปี 1 สาขาวิชาแพทยศาสตร์และทันตแพทศาสตร์, ปี 1 สาขาวิชาเภสัชศาสตร์และปี 1 ชั้นเตรียมศึกษากฎหมาย

ในกรณีดังกล่าว หลังจากที่ท่านได้เลือกสาขาวิชาที่ท่านจะไปศึกษา และสถาบันการศึกษาที่ท่านสนใจได้แล้ว ท่านจะต้องติดต่อขอใบสมัครเข้าเรียนล่วงหน้า จากฝ่ายวัฒนธรรมแห่งสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศที่อาศัยอยู่ โดยที่ท่านอาจไปติดต่อด้วยตนเองหรือทางไปรษณีย์

ข้อยกเว้น
ในกรณีที่ท่านอาศัยอยู่ในฝรั่งเศสโดยมีใบอนุญาตประจำตัวคนต่างชาติ ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 1 ปี ท่านสามารถติดต่อขอใบสมัครเข้าเรียนล่วงหน้าจากมหาวิทยาลัย ที่ท่านเลือกเป็นอันดับแรก

ในกรณีที่ผู้ปกครองหรือคู่สมรสของท่านอาศัยอยู่ในฝรั่งเศส โดยมีใบอนุญาตประจำตัวคนต่างชาติที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 3 ปี ท่านสามารถติดต่อขอใบสมัครเข้าเรียนล่วงหน้าจากมหาวิทยาลัยที่ท่านเลือกเป็นอันดับแรกเช่นกัน

วิธีปฏิบัติ
ในทุกกรณี ท่านมีสิทธิที่จะสมัครเข้าเรียนล่วงหน้าในมหาวิทยาลัยได้สองแห่ง โดยบอกลำดับที่ ต้องการยกเว้นสำหรับมหาวิทยาลัยในเขตการศึกษา ปารีส เครแตยและแวร์ซายส์ ซึ่งท่านมีสิทธิที่จะเลือกมหาวิทยาลัยเพียงแห่งเดียว

เมื่อได้กรอกแล้ว ท่านจะต้องส่งใบสมัคร (พร้อมหลักฐานที่จำเป็น) กลับไปยังหน่วยงานที่ท่านได้ไปขอมา หากมหาวิทยาลัยที่ท่านได้เลือกเป็นอันดับแรกไม่รับท่านเข้าศึกษา มหาวิทยาลัยดังกล่าวจะรับหน้าที่ส่งเรื่องต่อไปยังมหาวิทยาลัยที่ท่านได้เลือกเป็นอันดับสอง

กรณีที่มหาวิทยาลัยไม่รับท่านเข้าศึกษา
- หากมหาวิทยาลัยที่ท่านได้เลือกทั้งสองแห่งไม่รับท่านเข้าเรียน และถ้าท่านสอบผ่านการทดสอบภาษา ท่านสามารถที่จะยื่นคำอุทธรณ์เสนอชื่อมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ที่ท่านยังไม่ได้เลือกครั้งแรกไปยังรัฐมนตรีกระทรวงมหาวิทยาลัยและการวิจัย ก่อนวันที่ 15 กรกฎาคม กระทรวงมหาวิทยาลัยฯจะแจ้งคำตอบให้ทราบภายในวันที่ 15 กันยายน

- ในกรณีที่ท่านได้สมัครเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาที่คัดเลือกนักศึกษา โดยอาศัยการพิจารณาวุฒิหรือการสอบเข้า แต่สถาบันดังกล่าวไม่รับท่านเข้าเรียน และท่านต้องการสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแทน ท่านก็ยังต้องยื่นใบสมัครเข้าเรียนล่วงหน้าสำหรับช่วงการศึกษาปีที่หนึ่ง ในมหาวิทยาลัยเหมือนกับกรณีทั่วไป

- ในกรณีที่ท่านสมัครเข้าศึกษาในระดับปีที่ 3 และ 4 และได้รับการปฏิเสธ มิได้หมายความว่าท่านมีสิทธิเข้าศึกษาในระดับปีที่ 1 และ 2 ได้โดยอัตโนมัติ หากแต่ท่านจะต้องยื่นใบสมัครเข้าเรียนล่วงหน้าเหมือนกรณีปกติ

วันชาติฝรั่งเศส

ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก มีประวัติศาสตร์ที่เจริญรุ่งเรืองมาช้านาน เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่ประเทศฝรั่งเศสได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งกำเนิดศิลปและความคิดริเริ่มสร้างสรรอันสำคัญของโลก คำว่า "ฝรั่งเศส" มีความหมายหลายประการเกี่ยวกับความก้าวหน้าด้านต่าง ๆ เช่น ความเป็นผู้นำทางการเมืองและการปกครอง ประเทศฝรั่งเศสได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการปฏิวัติตลอดการและเป็นประเทศมหาอำนาจที่สำคัญประเทศหนึ่ง ประเทศฝรั่งเศสมีชื่อเสียงทางด้านศิลป ปรัชญา, วรรณคดี, ลักษณะ, สังคม, แฟชั่น หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตโดยการแสวงหาความสุขมาบำเรอจิตใจและอาหารการกินอีกด้วย ด้านภาษาประจำชาติ ภาษาฝรั่งเศสนับเป็นภาษาสากลอันดับ 2 รองจากภาษาอังกฤษ ซึ่งมีผู้นิยมใช้ภาษาฝรั่งเศสอย่างกว้างขวาง ปรัชญาเมธีผู้มีแนวความคิดก้าวหน้าได้เกิดขึ้นในประเทศนี้มากมายหลายท่าน

กรุงปารีสได้ชื่อว่าเป็นมหานครที่มีความสวยงามที่สุดในทวีปยุโรป มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ มีโบราณสถานที่สำคัญและมีคุณค่าทางศิลปกรรม เช่น พระราชวังแวร์ซายส์,หอไอเฟลและโบราณวัตถุทางศิลปด้านต่าง ๆ ที่น่าชม ประเทศฝรั่งเศสมีความรุ่งเรืองทางด้านวรรณกรรมและจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงในโลก
ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีขนาดพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอันดับที่สอง ของทวีปยุโรป คือมี ขนาดรองจากประเทศรุสเซียและใหญ่กว่าประเทศอังกฤษ 2 เท่า แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับประเทศกลุ่มยุโรปตะวันตก 6 ประเทศซึ่งมี อังกฤษ, ไอร์แลนด์เหนือ,ไอร์แลนด์,ฝรั่งเศส,เบลเยี่ยม,เนเธอร์แลนด์,ลักเซมเบอร์ก, ในบรรดาประเทศเหล่านี้ประเทศฝรั่งเศสนับว่าใหญ่ที่สุดในเขตภูมิภาคนี้ อาณาเขต ของประเทศฝรั่งเศส ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจดประเทศเบลเยี่ยม ลักเซมเบอร์ก,เยอรมันนี, ทางด้านทิศตะวันออกติดต่อกับประเทศสวิส,อิตาลี,เยอรมนี, ด้านทิศตะวันตกจดอ่าวบิสเคย์และทิศตะวันตกเฉียงเหนือถึงช่องแคบอังกฤษ สำหรับทางตอนใต้ติดกับฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและติดต่อกับประเทศสเปน

ประเทศฝรั่งเศสมีพื้นที่รวมประมาณ 212,207 ตารางไมล์ หรือประมาณ547,026 ตารางกิโลเมตร พื้นที่บริเวณทางตอนเหนือซึ่งติดต่อกับประเทศเบลเยี่ยม บริเวณบางส่วนของทุ่งฟลานเดอร์สเคยเป็นสนามรบที่สำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารของฝ่ายสัมพันธ์มิตรเคยพากันล้มตายมากมายในดินแดนดังกล่าว มีดอกไม้สีแดงขึ้นอยู่โดยทั่วไปในบริเวณนี้ ทุ่งกว้างแห่งนี้จะเบ่งบานด้วยดอกไม้สีสดไสไม่จืดตา แต่เป็นสัญญลักษณ์ที่ระลึกถึงผู้วายชนม์ในสงครามครั้นนั้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้

พื้นที่ภูมิประเทศของฝรั่งเศสประมาณ 2 ในสามส่วนจะเป็นที่ราบ ที่ราบสูงและภูเขาจะอยู่ทางทิศตะวันออกและบริเวณส่วนกลาง ที่ราบที่สำคัญได้แก่ที่ราบลุ่มแม่น้ำลัวร์ ที่ราบลุ่มแม่น้ำการอนน์ ที่ราบลุ่มแม่น้ำโรน ส่วนทางทิศตะวันออกและตอนกลางของประเทศเป็นบริเวณที่มีภูเขา พื้นแผ่นดินจะเป็นที่ราบสูงตามเชิงเขา มีภูเขาที่สำคัญคือ ภูเขาแซแวง ภูเขาโคตดอร์ ภูเขาปีรีนิสเป็นภูเขายาวเหยียดตลอดแนวชายแดนภาคใต้ติดต่อกับประเทศสเปน และบริเวณนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของชนชาวเขาเผ่าปาสต์ (Basgues) และเผ่าแคตาลาน (Catalan) ส่วนทางด้านชายแดนอิตาลีมีภูเขาแอลป์ปกคลุมด้วยหิมะทอโพลนตลอดเวลา ตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์มียอดภูเขาสูงชื่อยอดบองบลังค์ สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 15,780 ฟุต นับเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรปตะวันตก ส่วนบริเวณด้านตะวันออกชายแดนที่ติดต่อกับสวิส มีภูเขาจูรา นอกจากนี้แล้วยังมีภูเขาวอสก์ (Vosges) เป็นภูเขาขนาดเล็กในมณฑลอัลซาสใกล้กับชายแดนสวิส.



ภูมิอากาศในภูมิภาคต่าง ๆ ของฝรั่งเศส คือ บริเวณตอนเหนือของประเทศจะมีอากาศคล้ายคลึงกับประเทศอังกฤษมาก คือ มีภูมิอากาศอบอุ่นและมีฝนตกชุก ส่วนทางด้านทิศตะวันออกแถบภูเขาแอลป์จะมีหิมะปกคลุม มีละอองหิมะและกลุ่มหมอกหนาทึบ ในฤดูร้อนทุ่งหญ้าจะอุดมสมบูรณ์เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ในฤดูหนาวและฤดูร้อนจะเป็นที่ตากอากาศสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย ภูมิอากาศแถบภูมิภาคตอนใต้บริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอากาศจะหนาวจัด เนื่องจากลมหนาวซึ่งพัดมาจากบริเวณเทือกเขาแอลป์และไพรีนี ประกอบกับมีลมหนาวซึ่งพัดมาจากยอดเขามีความเร็วและรุนแรงดุจมายเฮอริแคน โดยจะพัดหนักอยู่ 3-4 วันติดต่อกัน ทำให้ต้นไม้ตามบริเวณเขตแดนเอนลู่โค้งคดโดยทั่วไป

ส่วนภูมิอากาศพื้นที่แถบเขตชายแดนบนฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก นับตั้งแต่เมืองดันเคิร์คตอนเหนือและตลอดถึงเมืองเฮ็นเดย์ตอนใต้จะมีลมทะเลพัดจากกระแสร์น้ำอุ่นกันฟ็สตรีม ช่วยเสริมให้อุณหภูมิบริเวณดังกล่าวไม่ร้อนหรือหนาวจัดจนเกินไป สำหรับภูมิอากาศทางภาคกลางซึ่งห่างไกลจากทะเลและภูเขาจะมีอากาศเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลและผันผวนผิดแยกไปบ้างเป็นครั้งคราว

ชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรในภูมิภาคต่าง ๆ ประชากรชาวฝรั่งเศสมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทางเชื้อชาติศาสนาภาษาและเคยเป็นมหาอำนาจซึ่งมีอาณานิคมกว้างขวางในทวีปยุโรป อาณานิคมของฝรั่งเศสเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอังกฤษก็จะไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลยประเทศซึ่งเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสบางส่วนแม้จะได้รับอิสระเป็นเอกราชปกครองตนเองก็ตาม แต่ทว่าความเกี่ยวพันทางการเมืองและเศรษฐกิจก็ยังผูกพันกับฝรั่งเศสอย่างเหนียวแน่นดังนั้น ประเทศฝรั่งเศสจึงกลายเป็นศูนย์กลางประชาคมของประเทศต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในอาณานิคมหรือเครือจักรภพ เช่นแอฟริกาเหนือและแอฟริกากลาง เป็นต้น


ปารีส เป็นเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในฐานะที่เป็นนครหลวงที่สวยงามที่สุดในทวีปยุโรป มีโบราณสถานและอาคารซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะหอแอนไอเฟล (Eeffel Tower) เป็นสัญญลักษณ์ที่โดดเด่นประจำมหานครปารีส ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2432 เนื่องในโอกาสของงานมหกรรมโลก ซึ่งได้จัดขึ้นในปารีส ออกแบบเป็นลักษณะหอสูง คือ สองชั้นล่างเป็นสถานที่ร้านอาหารนา นาชนิด ชั้นที่ 3 ใช้สำหรับชมทีศนียภาพโดยรอบ ส่วนชั้นที่สูงสุดยอดถูกปิดตายไม่ให้ผู้คนขึ้น หอสูงไอเฟลเป็นหอคอยโครงเหล็กที่เคยถือว่าสูงที่สุดในโลกคือสูวถึง 985 ฟุต แต่ต่อมาภายหลังเมื่อมีการสร้างตึกไครส์เลอร์ในนิวยอร์คและหอโตเกียวซึ่งสูงถึง 1,092 ฟุต สถิติความสูงของหอไอเฟลจึงกลายเป็นรองไปแต่ชื่อเสียงของหอคอยแห่งนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายสำหรับชาวโลกมาช้านานแล้ว



ประชากรของประเทศฝรั่งเศสเท่าที่สำรวจครั้งล่าสุดในปี พ.ศ.2521 ปรากฎว่ามีพลเมืองประมาณ 50,300,000 คน ผู้คนพลเมืองจะมีอาชีพในทางการเกษตรกรรรมและอุตสาหกรรม แหล่งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมได้แบ่งแยกออกไปตามความเหมาะสมเพื่อให้เกิดความสมดุลย์ระหว่างผลิตผลทั้งสองประเภทนี้ โดยคำนึงถึงปัญหาเรืองอาหารการกินของประชากรภายในประเทศ ปัญหาการใช้แรงงานในการผลิตอุตสาหกรรมให้เพียงพอสำหรับใช้สอยและส่งเป็นสินค้าออกไปแข่งขันกับนา นา ประเทศอย่างมั่นคง

เขตภูมิภาคประเภทเกษตรกรรม ได้แก่พื้นที่ราบลุ่มต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่มากมายในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ เช่น ที่ราบลุ่มบริเวณรอบนอกของปารีส มีการปลูกพืชจำพวกข้าวสาลี หัวผักกาด, น้ำตาล, เลี้ยงสัตว์จำพวกหมู, วัวนม, และสัตว์มีปีกอื่นๆ อีกตามสมควร

เขตอุตสาหกรรม แหล่งอุตสากรรมต่าง ๆ ของฝรั่งเศสกระจัดกระจายอยู่ในเมืองต่าง ๆ แต่พอจะจำแนกได้เป็น 4 เขตใหญ่ ๆ แต่ละเขตมีการผลิตอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ทั้งอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมขนาดเล็ก โดยเฉพาะแร่เหล็กมีมากที่สุดในเมืองลอร์เรน (Lorraine) เป็นแหล่งสำคัญของแร่เหล็ก ดังนั้นอุตสาหกรรมด้านนี้จึงมีความสำคัญมากแม้ว่าแร่เหล็กของฝรั่งเศสจะมีคุณภาพเพียง 30 % ของน้ำหนัก สินแร่มีเปอร์เซ็นต์ต่ำกว่าแร่เหล็กของสวีเดน ซึ่งมีเปอร์เช็นต์สูง 60 เปอร์เช็นต์ แต่ประโยชน์ที่ได้รับคุ้มค่ากับการลงทุน และถือว่าประเทศฝรั่งเศสมีปริมาณแร่เหล็กมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป


เศรษฐกิจของฝรั่งเศสเป็นเศรษฐกิจแบบประเทศด้อยพัฒนา แรงงานมีอยู่น้อยและเป็นแรงงานที่ไม่ชำนาญงาน จำนวนประชากรก็มีอยุ่น้อยไม่พอเพียงต่อการเป็นผู้บริโภคของอุตสาหกรรมที่จะสร้างขึ้นมาเพื่อผลิตสินค้าสำหรับใช้บริดภคภายในฝรั่งเศส การสร้างถนนระบบโทรคมนาคม และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเกือบจะเรียกได้ว่าไม่มีเลย พืชที่ปลูกได้แก่ มันสำปะหลัง ข้าวเจ้า ข้าวโพด กล้วย สับปะรด และอ้อย อ้อยนั้นส่วนใหญ่นำมาใช้ผลิตเหล้ารัม เพื่อส่งออก ผลผลิตของเกษตรกรมีไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในฝรั่งเศส เกษตรกรกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดได้แก่ ชาวอินเดียน และชาวศรีโอเล ซึ่งทำไร่นาแบบเลื่อนลอยอยู่ในบริเวณลึกเข้าไป เกษตรกลุ่มนี้จะเผาป่าแล้วย้ายถิ่นที่เพาะปลูกจากแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งเรื่อยไปพืชที่พวกเขาปลูกก็มีสำปะหลังและพืชชนิดอื่น ๆ อีก 2-3 ชนิดสำหรับใช้เป็นอาหารและปลูกสำหรับบริโภคเองเท่านั้น พวกเขาจะล่าสัตว์และจับปลาเพื่อใช้เป็นอาหารประกอบกับพืชที่คนได้ปลูกไว้
สิ่งที่นับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมาก คือ ผลผลิตทางการเกษตรมีไม่พอบริโภคทำให้ต้องสั่งซื้ออาหารจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากฝรั่งเศสได้ใช้ดินแดนฝรั่งเศสเป็นที่กันขังนักโทษ แล้วให้นักโทษทำไร่นาเสมือนหนึ่งทาส การทำไร่นาจึงได้รับการดูถูกว่าเป็นอาชีพที่ต่ำ ยกเว้นชาวอินเดียนที่ทำการเพาะปลูกเพื่อใช้บริโภคเองแล้วมีคนจำนวนน้อยที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
ศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก 81.4% ของประชากรทั้งประเทศ รองมาคือมุสลิม 6.89 % โปรเตสแตนต์ 1.64%

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ในหลวง-พระราชินีองค์ต้นแบบ

กระแสน้ำข้าวกล้องงอกฟีเวอร์ ทรงยกย่อง “ในหลวง-พระราชินี” ทรงเป็นต้นแบบให้คนไทยกินข้าวไทยเห็นประโยชน์ของไทย เร่งสร้างรายได้ให้เกษตรกร ด้านประชาชนทั่วประเทศตื่นตัวขอสูตรทำน้ำข้าวกล้องงอก อธิบดีกรมการข้าว เตรียมแจกจ่ายสูตร-ขายผลิตภัณฑ์ ชี้ทำง่ายมีหลากหลายรูปแบบ เก็บไว้ได้นาน เด็กกินได้ผู้ใหญ่กินดี เชื่อกระแสน้ำข้าวกล้องงอกทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมมากินข้าวไทยเยอะขึ้น เผย “ในหลวง” ทรงห่วงพันธุ์ข้าวไทยสูญหายอยากให้คนไทยปลูกกันเยอะ ๆ “พระเทพ” ทรงโปรดไอศกรีมข้าวกล่ำงอก รสชาติอร่อยกว่าไอศกรีมทั่วไป ไม่อ้วนมีสารอาหารที่มีประโยชน์สุดยอด “กาบ้า”
ภายหลังนายประเสริฐ โกศัลยวิตร อธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับน้ำข้าวกล้องงอก ซึ่งเป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่กรมการข้าวนำทูลเกล้าฯถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จนพระองค์มีรับสั่งให้นำน้ำข้าวกล้องงอกขึ้นโต๊ะเสวยเพื่อทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุก ๆ 3 วัน เนื่องจากน้ำข้าวกล้องงอกมีคุณประโยชน์ครบถ้วน โดยนักวิชาการระบุว่าผลการวิจัยสรรพคุณลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ช่วยระบบย่อยอาหาร ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ไม่ให้แก่ก่อนวัย บำรุงประสาท และควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ อีกทั้งยังทำได้ง่ายด้วย ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 4 ม.ค. นายประเสริฐ เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนได้รับการสอบถามเข้ามามากมายถึงสูตรการทำน้ำข้าวกล้องงอก ซึ่งกรมจะเปิดอบรมฟรีให้กับประชาชนทั่วไปที่สนใจและประชาชนที่ต้องการวัตถุดิบเพื่อไปทำน้ำข้าวกล้องงอกรับประทานเองสามารถมาซื้อ ข้าวกล้องงอกได้ที่กรมการข้าว โดยมีบรรจุถุงขายแล้วผู้สนใจนำไปทำรับประทานได้เองใน ครอบครัวได้ง่าย ๆ พร้อมกับมีเป็นแบบบดละเอียดบรรจุซองสามารถฉีกซองละลายน้ำอุ่น ๆ รับประทานได้ทันทีหรือนำไปใส่กับนมรับประทานตอนเช้าจะทำให้ร่างกายและระบบประสาทมีการทำงานที่สมดุลกันด้วย “ช่วงเวลานี้ผมปลื้มใจมากที่สามารถ กระตุ้นให้คนไทยหันมาบริโภค และเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานข้าวได้อย่างดี เป็นเพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นต้นแบบของแนวเศรษฐกิจพอเพียง โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ให้พระราชดำรัสกับผมเมื่อตอนเข้าเฝ้าฯเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 51 รับสั่งว่าให้กรมการข้าวไปกระตุ้นให้คนไทยปลูกข้าวทุกพื้นที่ในประเทศไทย โดยปลูกไว้กินเองเพราะจะทำให้เอาใจใส่กับการปลูกข้าวมากกว่าและจะไม่ใช้สารเคมีมากเพราะต้องกินเองด้วย ซึ่งจะทำให้ได้ประโยชน์ในด้านลดต้นทุนการผลิตไปได้อีก เมื่อเกี่ยวก็ต้องลงมือเกี่ยวอย่างดี และตากผึ่งให้แห้งเพื่อรักษาคุณภาพของข้าวทำให้สามารถเก็บไว้ได้นานไม่ต้องรีบขาย เก็บไว้กินเองทั้งปี เหลือก็ค่อยออกขาย ไม่ว่าเศรษฐกิจภายนอกจะเป็นอย่างไรเกษตรกรไทยไม่กระเทือนแน่” อธิบดีกรมการข้าว กล่าว นายประเสริฐ เผยอีกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งอีกว่าเมื่อก่อนข้าวเหนียวมะม่วงที่ตลาดหัวหินอร่อยมาก ไม่เหมือนตอนนี้ไม่อร่อยเพราะข้าวเหนียวเหมือนกับที่อื่นซื้อจากที่อื่นมาทำ ชาวบ้านไม่ปลูกข้าวเหนียวพันธุ์เดิมที่เคยปลูกที่หัวหินแล้ว พระองค์รับสั่งให้รักษาพันธุ์ข้าวของแต่ละท้องถิ่นไว้ไม่อย่างนั้นจะสูญหายหมด และไปปรับปรุงพันธุ์ให้มีผลผลิตดีขึ้น ต่อต้านโรคได้มากขึ้น ชาวบ้านจะได้หันมาปลูกพันธุ์พื้นเมือง ที่มีความพิเศษแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกันไปที่กรมการข้าวต้องสนับสนุนให้ชาวนาและช่วยชาวนาด้วยเพราะทรงกังวลเรื่องชาวนา หากชาวนายังมีรายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัวจะขายที่นากันหมด อธิบดีกรมการข้าว กล่าวต่อว่า คนไทยจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคข้าว ที่เคยรับประทานข้าวขัดขาวก็ค่อย ๆ นำข้าว กล้องมาผสม เพราะการบริโภคข้าวกล้องและน้ำข้าวกล้องงอกตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ ชะลอความชราก่อนวัยและซ่อมแซมอวัยวะต่าง ๆ ได้ตั้งแต่ต้น โดย เฉพาะเด็ก ๆ เยาวชนเพราะคนไทยต้องรับประทานข้าวตั้งแต่เด็กจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตเลยทีเดียว ซึ่งข้าวกล้องยังทำให้ไม่อ้วนง่ายด้วย เพราะมีสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการร่างกายสามารถนำไปใช้ได้หมดอีกด้วย “ผมเชื่อว่ากระแสการหันกลับมาเห็นคุณค่าของข้าวไทยที่ให้ประโยชน์มากต่อร่างกาย และเป็นสิ่งที่คนไทยบางส่วนอาจจะละเลย มองว่าการบริโภคข้าวทำให้อ้วนก็ต้องเปลี่ยนแปลง ความคิดใหม่ เพราะข้าวไทยยังเป็นแหล่งสารอาหารครบถ้วนโดยไม่ต้องไปพึ่งพาอาหารเสริมจากต่างประเทศอีก เมื่อคนไทยหันมาบริโภคอาหารจากข้าวกันมาก ๆ จะช่วยให้ชาวนาขายข้าวได้ราคาดีด้วย” นายประเสริฐ กล่าว อธิบดีกรมการข้าว กล่าวเสริมว่า ข้าวกล้องงอกสามารถผลิตเป็นอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกายได้หลายชนิด และพันธุ์ข้าวของไทยมีมากมายหลายสายพันธุ์ที่แต่ละพันธุ์หากไม่ผ่านการสีการขัดจนขาว สามารถนำมาทำเป็นข้าว กล้องงอกได้ทุกสายพันธุ์ โดยเฉพาะไอศกรีมข้าวกล่ำ (ข้าวเหนียวดำ) งอก เป็นสูตรที่นักวิจัยของกรมการข้าวทำขึ้นทูลเกล้าฯถวายสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อเสวยแล้วโปรดมากถึงกับรับสั่งว่าอร่อยกว่าไอศกรีมทั่วไป และรสชาติหอมมันกว่าเครื่องดื่ม รสโกโก้หรือรสช็อกโกแลต อีกทั้งยังรับสั่งอีกว่าให้นำสูตรไปสอนชาวบ้านเกษตรกร เพื่อเพิ่มรายได้และแปรรูปข้าวให้เป็นอาหารที่เป็นที่ต้องการ และนิยมของตลาดและผู้บริโภคด้วย โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและความงาม เพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศ “การทำไอศกรีมข้าวกล่ำงอก จะทำให้ สารกาบ้า ที่ช่วยแก้โรคอัลไซเมอร์ บำรุงประสาท ควบคุมความดันโลหิต ไม่ถูกทำลายด้วยความร้อนเพราะความเย็นช่วยรักษาให้สารกาบ้าคงคุณภาพไว้ได้นาน อย่างไรก็ตามการค้นคว้าวิจัย เรื่องคุณค่าหาสารอาหารที่มีประโยชน์ในข้าวและการวิจัยต่อยอดยังทำได้น้อยมาก เพราะขาดแคลนนักวิจัยและเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย นักวิจัยส่วนใหญ่จะไปทำงานกับภาคเอกชนมากกว่าราชการเพราะมีแรงจูงใจมากกว่า มีห้องทดลองที่ทันสมัยกว่าของเรามาก” นายประเสริฐ กล่าว นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า กรมการข้าวขออนุมัติซื้อเครื่องตรวจหาดีเอ็นเอจาก พันธุ์ข้าวซึ่งในงบปี 2552 อนุมัติให้เพียงเครื่องเดียว หากทางราชการมีเครื่องมือที่มากกว่านี้จะสามารถดึงนักวิจัยฝีมือดีมาทำงานให้กับภาครัฐ ได้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา เพราะงานวิจัยของ กระทรวงฯ มีเป็นจำนวนมากแต่ขาดงบประมาณต่อเนื่อง จึงทำให้งานวิจัยหลายอย่างที่มีประโยชน์ไม่ได้รับการต่อยอด ให้นำมาเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ ซึ่งตนจะนำปัญหาการขาดแคลนนักวิจัยเข้าหารือกับนายธีระ วงค์สมุทร รมว. เกษตรฯ ทั้งนี้ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการทำน้ำข้าว กล้องงอก หรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับข้าว สามารถสอบถามได้ที่หมายเลข 0-2561-0646 หน้าห้องอธิบดีกรมการข้าว ภายในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน.